วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ต้นใบเงิน

ต้นใบเงิน


คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นใบเงินไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเงินมีทองเพราะเป็นไม้มงคลนามนอกจากนี้คนไทยโบราณได้นำ ใบเงินใบทองมาประกอบพิธีสำคัญทางศาสนา เช่น การทำน้ำพุทธมนต์ การขึ้นบ้านใหม่ ดังนั้นคนไทยโบราณจึงเชื่อว่า ต้นใบเงินเป็นไม้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์
ชื่อสามัญ Caricature Plant

ชื่อวิทยาศาสตร์ Grapthophyllun pictum

ตระกูล ACANTHACEAE

ชื่ออื่น ทองคำขาว

ลักษณะทั่วไป

          ใบเงินเป็นพรรณไม้ขนาดเล็ก ลักษณะเป็นพุ่มขนาดกลาง ลำต้นมีความสูงประมาณ 2-4 เมตร แตกกิ่งสาขาออกจากโคนต้น และเจริญพุ่งตรงไปข้างบน ลำต้นกลมเล็ก สีขาวปนเทา ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ๆ สลับกันตามลำต้น ใบเป็นรูปรี ปลายใบแหลมขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อยขนาดใบกว้างประมาณ3-6 เซนติเมตรยาวประมาณ7-10 เซนติเมตรพื้นใบสีเขียวกลางใบปนด้วยสีขาวหรือเหลืองจาง ๆ ออกดอกเป็นช่อ ตามส่วนยอดของลำต้น ลักษณะดอกเป็นหลอดยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตรโคนหลอดจะมีกลีบดอก 3 กลีบ ดอกมีสีแดงเข้ม

ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก

         เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัยควรปลูกต้นใบเงินไว้ทางทิศตะวันออกหรือทิศใต้ก็ได้ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคารเพราะคนโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบ ให้ปลูกในวันอังคาร ถ้าจะให้เป็นมงคลยิ่งขึ้นนั้นควรปลูกต้นใบเงิน ใบทอง ใบนาก ไว้บริเวณเดียวกันหรือใกล้กันก็จะดียิ่งนัก

การปลูก

การปลูกแบ่งเป็น 2 วิธี

        1. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายนอกอาคารบ้านเรือน ใช้กระถางสูงขนาด 10-14 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : แกลบผุ :ดินร่วนอัตรา1:1:1ผสมดินปลูกควรเปลี่ยนกระถาง1-2ปี/ครั้งเพราะการเจริญเติบโตของทรงพุ่มโตขึ้นและเพื่อเปลี่ยนดิน ปลูกใหม่ ทดแทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
        2. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน โบราณนิยมปลูกไว้บริเวณสวน เพราะจะได้เป็นเสน่ห์แก่บ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1: 2 ผสมดินปลูก

การดูแลรักษา
แสง                           ต้องการแสงแดดอ่อน รำไร 

น้ำ                             ต้องการปริมาณน้ำปานกลางควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง 

ดิน                           ดินร่วนซุย ต้องการความชื้นสูง 

ปุ๋ย                           ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-5 ครั้ง

การขยายพันธ์         การใช้เมล็ด การปักชำ

วิธีที่นิยมและได้ผลดี การปักชำ

โรค                   ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อโรคได้ดี 

แมลง                       ไรแดง (Red spider mite)

อาการ                       ใบสีเหลือง และแห้งเป็นจุดสีน้ำตาล

การป้องกัน               รักษาความสะอาดบริเวณแปลงปลูก 

การกำจัด                ใช้กำมะถันผง (Sulphur) อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก หรือใช้ยาไอโซทอกซ์



ว่านนางคุ้ม

ว่านนางคุ้ม 

        ว่านนางคุ้ม หรือ ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน จัดเป็นไม้ดอกไม้ประดับ รวมถึงเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกไว้ภายในบ้าน ทั้งการปลูกในกระถาง และปลูกในแปลงจัดสวน เนื่องจาก มีความเชื่อว่า สามารถปกป้องภัยอันตรายต่างๆไม่ให้ย่ำกรายเข้ามาในบ้านได้ รวมถึงมีความนิยมชมชอบเพื่อการปลูกประดับใบ และดอกที่มีลักษณะเด่นแปลกตา และสวยงาม

• ถิ่นกำเนิด : ในแถบประเทศแหลมมาลายู จนถึงทางเหนือของออสเตรเลีย
• วงศ์ : AMARYLLIDACEAE
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eurycles amboinensis Lindl.
• ชื่อสามัญ :
– Brisbane Lily
– Cardwell Lily
– Northern Christmas Lily
• ชื่อท้องถิ่นไทย :
– ว่านนางคุ้ม
– ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน
– ว่านอ้ายเห้ว
– บัวงัน
– บัวเงิน
– บัวบก
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราก และลำต้น ลำต้นแท้ว่านนางคุ้มจะเป็นส่วนหัวหรือเหง้าที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะทรงกลมที่เป็นกลีบหัวเรียงซ้อนกันแน่น โดยที่ส่วนปลายหัวจะมีตายอดที่เจริญออกมาเป็นใบ และช่อดอก โดยมีโคนก้านใบห่อซ้อนกันแน่นทำให้คล้ายลำต้น แต่แท้จริงแล้ว คือ ลำต้นเทียม แต่เรามักเรียกหรือเข้าใจว่าเป็นลำต้นแท้จริง หัวหรือลำต้นแท้ของว่านนางคุ้มจะมีรูปทรงกลม คล้ายหอมหัวใหญ่ ประกอบด้วยฐานหัวที่เป็นปล้องซ้อนกัน ถัดมาจะเป็นกาบหัวที่เรียงซ้อนกันแน่นกลายเป็นหัวทรงกลม กาบด้านในมีสีขาว ส่วนกาบด้านนอกสุดจะแห้งมีสีน้ำตาล ทำหน้าที่ป้องกันการคายระเหยน้ำออกจากหัว ส่วนรากของว่านนางคุ้มจะมีเพียงระบบรากฝอยที่แตกออกจากฐานหัว
ใบ ใบว่านนางคุ้มจะแทงออกจากส่วนปลายของหัวที่เจริญมาจากกาบหัว โดยมักพบจำนวน 7-8 ใบ/ต้น ใบจะประกอบด้วยกาบใบหรือก้านใบสีเขียวอ่อน ยาว 25-50 ซม. ที่เรียงซ้อนกันจนทำให้มีลักษณะคล้ายลำต้น ถัดมาเป็นส่วนของใบที่มีลักษณะมนคล้ายรูปหัวใจหรือคล้ายใบฟักทอง กว้างประมาณ 20-25 ซม. แผ่นใบมีลักษณะเรียบ และหนา มีเส้นใบมองเห็นชัดเป็นเส้นเรียงซ้อนกันในแนวตั้งจากโคนใบถึงปลายใบ
ดอก ดอกว่านนางคุ้มจะออกเป็นช่อจากตรงกลางของหัว ประกอบด้วยก้านดอกยาว 30-60 ซม. ก้านช่อดอกมีลักษณะกลม มีผิวเรียบมีไขเคลือบ ปลายก้านดอกเป็นช่อดอกที่มีดอกรวมกันเป็นกระจุกที่ส่วนปลาย แต่ละช่อมีดอกประมาณ 10-40 ดอก ตัวดอกเป็นชนิดดอกแบบสมบูรณ์เพศที่มีเกสรทั้ง 2 ชนิด ในดอกเดียวกัน ที่ประกอบด้วยกลีบดอกสีขาว จำนวน 6 กลีบ กลีบดอกแต่ละกลีบมีขนาดเท่ากัน เป็นทรงรี มีปลายแหลม และมีโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ถัดมาภายในเป็นเกสรตัวผู้ที่มีสีเหลือง จำนวน 6 อัน ตรงกลางเป็นเกสรตัวเมียที่เป็นรังไข่ จำนวน 3 ช่อง และก้านชูเกสรขนาดเล็กด้านบน โดยเมื่อดอกบานจะส่งกลิ่นหอม
ผล และเมล็ด ผลมีลักษณะทรงกลมค่อนข้างรีเล็กน้อย ผลมีสีเขียวเข้ม มักติดเมล็ดน้อยหรือบางต้นไม่พบการติดเมล็ดให้เห็นเลย
ประโยชน์
       1. ใช้ปลูกเป็นไม้มงคล ด้วยความเชื่อที่ว่า เป็นว่านที่ช่วยปกป้องภัยอันตราย ป้องกันสัตว์ร้าย ป้องกันไฟไหม้บ้าน หรือสิ่งชั่วร้ายต่างๆไม่ให้ย่ำกรายเข้ามาภายในบ้าน จนเป็นที่มาของชื่อที่ว่า ว่านนางคุ้ม หรือ ว่านผู้เฒ่าเฝ้าบ้าน ที่เหมือนมีผู้เฒ่าคอยปกป้องลูกหลานภายในบ้าน รวมถึงมีความเชื่อว่าจะช่วยให้ทำมาค้าขายดีขึ้น
       2. ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับใบ และประดับดอก เนื่องจาก ใบมีรูปทรงหัวใจที่มีสีเขียวสวยงาม ส่วนดอกก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน ที่มีลักษณะแทงออกเป็นช่อยาว มีดอกสีขาวเกิดเป็นกระจุกที่ปลายก้านดอก
การปลูกว่านนางคุ้ม
       การปลูกว่านนางคุ้ม สามารถปลูกได้ด้วยเมล็ด แต่สามารถปลูกด้วยการชำหัวที่ได้จากการตัดแบ่งหัว คล้ายการขยายพันธุ์ว่านสี่ทิศ ซึ่งทำได้ง่าย และสามารถขยายพันธุ์ได้ครั้งจำนวนมาก ทั้งนี้ การปลูกว่านนางคุ้มจะนิยมปลูกในกระถางเป็นส่วนใหญ่
การเตรียมดิน
ดินที่ใช้ปลูกในกระถางจะเป็นดินที่มีการผสมวัสดุอินทรีย์ต่างๆ เช่น แกลบ/แกลบดำ ขุ๋ยมะพร้าว และปุ๋ยคอก โดยใช้ผสมกับดินในอัตราส่วน ดิน:วัสดุ ที่ 1:3-1:5
การขยายพันธุ์ด้วยการตัดแบ่งหัวชำ
วิธีขยายพันธุ์แบบนี้ ทำได้โดยนำหัวแก่ที่ใบร่วงหมดแล้วมาผ่าแบ่งหัวในแนวตั้ง โดยผ่าออกเป็นซีกๆ และแต่ละซีกต้องให้ผ่านตรงกลางฐานหัว ซึ่งจะได้รากติดมาในแต่ละซีก หลังจากนั้น นำแต่ละซีกปักลงปลูกในกระถางให้ดินกลบเหนือฐานหัวเล็กน้อย โดยรดน้ำ และดูแลจนกว่าจะได้ต้นใหม่ก่อนจะแยกลงปลูกในกระถางต่อ

ที่มาhttps://www.youtube.com/watch?v=C5ytmcQ94do
http://puechkaset.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1/


ว่านรางเงิน

ว่านรางเงิน


        เชื่อกันว่าถ้าเลี้ยงว่านสี่ทิศให้ออกดอกพร้อมกัน  ได้ทั้งสี่ดอกหรือสี่ทิศผู้เลี้ยงจะมีโชคลาภ และหากว่าในช่วงที่ว่านสี่ทิศกำลังออกดอกทั้งสี่อยู่นั้น ผู้เลี้ยงคิดจะทำอะไร ก็จะประสบความสำเร็จทุกประการ แต่ถ้าหากว่า ว่านสี่ทิศออกดอกไม่ครบทั้งสี่ดอก หรือออกดอกแค่ 2 หรือ 3 ดอก ก็จะไม่เป็นผลดีแก่ผู้เลี้ยงเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าจะมีสิ่งไม่ดีเกิดแก่ผู้เลี้ยง

ชื่อวิทยาศาสตร์: Hippeastrum reticulatum (L’Herit) Herb.
วงศ์: Amaryllidaceae
ประเภท: ไม้ล้มลุกอายุหลายปี
ความสูง: 30-50 เซนติเมตร
ลำต้น: มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวกลม
ใบ: ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานกว้าง 3 – 4 เซนติเมตร ยาว 30 – 40 เซนติเมตร ปลายใบมน แผ่นใบสีเขียวเป็นมัน มีเส้นสีขาวขนาดใหญ่บริเวณกลางใบ
ดอก: ออกบริเวณซอกใบ ชูตั้งขึ้น สูง 30 – 40 เซนติเมตร มี 4 – 5 ดอก ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นกรวย ปลายแยกเป็น 6 กลีบ พื้นดอกสีขาว มีลายเส้นสีแดงอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อันกระจุกอยู่รวมกันเป็นกลุ่มบริเวณกลางดอก
อัตราการเจริญเติบโต: ปานกลาง
ดิน: ดินร่วนระบายน้ำดี
น้ำ: ปานกลาง
แสงแดด: เต็มวัน

ขยายพันธุ์: แยกหัว

ที่มาhttp://book.baanlaesuan.com/plant-library/hippeastrum-reticulatum/http://oknation.nationtv.tv/blog/lammai/2012/07/31/entry-1

กวักมรกต

กวักมรกต


         ความเชื่อเกี่ยวกับต้นไม้มงคล ที่ว่าปลูกไว้ในบ้านแล้วจะดี มีโชคลาภ ช่วยเรียกเงินเรียกทองเข้าบ้าน ซึ่งความเชื่อที่ว่านี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว และมีต้นไม้มงคลก็มีมากมายหลากหลายชนิดที่นิยมปลูกัน มีอีกหนึ่งต้นไม้มงคลมาแนะนำกัน นั่นก็คือ ต้นกวักมรกต ปลูกในบริเวณบ้านจะช่วยส่งเสริมการมีโชคลาภ กวักเงินกวักทอง กวักมรกต เรียกทรัพย์เข้ามายังบ้าน
ลักษณะทั่วไป
          ต้นไม้ชื่อมงคลอีกชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกในอาคารบ้านเรือน เพราะเป็นต้นไม้ในร่มที่สวยงาม แถมมีนามเป็นมงคล ลักษณะลำต้นเป็นหัวใต้ดิน แตกใบย่อยเป็นสีเขียวมรกตเฉดเข้ม ใบแข็งและเป็นมัน สื่อถึงความมั่งคั่ง และความราบรื่น ส่วนดอกเป็นช่อ มีลักษณะคล้ายดอกเดหลี คนส่วนใหญ่นิยมปลูกต้นกวักมรกตเป็นไม้ประดับภายในบ้าน เนื่องจากดูแลง่าย ไม่ค่อยพบปัญหาโรคพืช หรือแมลงมารบกวน

วิธีปลูกต้นกวักมรกด
  • ดินร่วน ระบายน้ำได้ดี ไม่ขังน้ำ
  • ปลูกในที่พอมีแสงส่วงบ้้าง
  • ไม่ต้องการน้ำมาก


วิธีขยายพันธุ์ต้นกวักมรกต
  • เนื่องจากเป็นต้นชนิดหัว ดังนั้นเมื่อต้นเจริญเติบโตเต็มที่ สามารถแยกหัวเพื่อขยายพันธุ์ได้
  • อีกวิธีหนึ่งที่พิเศษคือ การใช้ "ใบ" ในการปลูก โดยการตัดใบให้เหลือก้านเล็กน้อย จะไปแช่น้ำเพื่อให้รากงอกก่อนจึงค่อยปลูก หรือ นำใบไปปักลงดินเลยก็ได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทดสอบการปลูกด้วยปักชำใบ จะต้องใช้เวลานานมากพอสมควร ประมาณ 1-2 เดือนเลยทีเดียว กว่าจะได้เห็นต้นเล็กๆ โผล่มาจากดิน


วิธีการปลูกและดูแลรักษา
         คุณสามารถปลูกต้นกวักมรกตในดินผสมแกลบ หรือดินปลูกต้นไม้สำเร็จรูปได้เลย ส่วนการรดน้ำต้นไม้ไม่ต้องรดมากนักก็ได้ เพราะไม้ชนิดนี้ไม่ชอบน้ำชุ่มเท่าไร และหากรดน้ำมากเกินไป รากมีสิทธิ์เน่าตายได้เลยทีเดียว แต่ควรให้ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกละลายน้ำเดือนละครั้งด้วยค่ะ


ที่มาhttps://home.kapook.com/view83234.html
        http://www.myhomemygardening.com/2013/08/blog-post_19.html
        https://www.youtube.com/watch?v=snq6v0J5kPQ

ต้นเดหลี

ต้นเดหลี


           เดหลี เป็นไม้ประดับที่เป็นที่ยอมรับว่า มีความโดดเด่น สวยงาม  เนื่องจากให้ดอกสีขาวที่สวยงาม จึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับภายในบ้าน หรืออาคาร เป็นไม้ประดับที่มีอัตราการคายความชื้นสูง มีใบสีเขียวเข้มมันเป็นวาว ดอกเป็นช่อสีขาวหรือขาวแกมเหลือง กาบหุ้มช่อดอกมีสีขาวคล้ายดอกหน้าวัว เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงประมาณ 30–60 เซนติเมตร โดยธรรมชาติแล้วไม้ประดับชนิดนี้ชอบขึ้นอยู่ตามริมลำธารที่มีร่มเงาในป่าฝนเขตร้อน แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับภายในอาคาร เดหลีก็สามารถปรับตัวได้ดี และเป็นไม้ดอกไม้ประดับในจำนวนน้อยชนิดที่สามารถออกดอกได้ภายในอาคาร ถึงแม้จะมีความชื้นต่ำ และได้รับแสงจากหลอดไฟฟ้าเท่านั้น ขอเพียงแต่ดินที่ปลูกต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
        เดหลี (Peace lily) จัดเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกเพื่อการประดับต้น ประดับใบ และประดับดอก เนื่องจากใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม ทำให้แลดูสดชื่น และมีดอกที่มีใบประดับดอกสีขาวนวลขนาดใหญ่สวยงาม ทั้งนี้ มีความเชื่อว่า เดหลี เป็นไม้มงคลที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ปลูกมีอายุมั่นขวัญยืน และนำโชคลาภมาให้

• สกุล : Spathiphyllum
• ชื่อวิทยาศาสตร์ : ตามชนิดต่างๆที่นิยมปลูก
       – Spathiphyllum cannifolium (Dryand.) Schott.
       – Spathiphyllum wallisei
• ชื่อสามัญ : Peace lily
• ชื่อท้องถิ่น :
        – เดหลี
        – เดหลีใบกล้วย
        – เจ็ดทิวา
        – หน้าวัวไทย
        – กวักมงคล
        – กวักมงคลใบโพธิ์
• ถิ่นกำเนิด : ประเทศในแถบทวีปอเมริกาใต้ อาทิ โคลัมบีย และเวเนซูเอล่า มีมากกว่า 40 ชนิด
ลำต้น
        เดหลี เป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุนานหลายปี มีลำต้นแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ลำต้นส่วนใต้ดินที่เป็นหัว และไหล และลำต้นเหนือดินแตกหน่อจากไหลขึ้นมา โดยลำต้นเหนือดินแตกหน่อออกด้านข้างทำให้เป็นกอจนแลดูเป็นทรงพุ่มขนาดเล็ก ลำต้นสูงประมาณ 40 – 70 เซนติเมตร ทั้งนี้ ทุกส่วนทั้งลำต้น ใบ และดอก เมื่อกรีดจะมีน้ำยางใส
         ใบเดหลี เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันจากลำต้น ก้านมีสีเขียวเข้ม ยาว 30-40 เซนติเมตร ใบมีรูปรี แผ่นใบเรียบ และเป็นมัน มีสีเขียวเข้ม โคนใบสอบแคบ ปลายใบเรียวแหลม และโค้งลงดิน ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ขนาดใบกว้าง 15-25 เซนติเมตรยาว 25-50 เซนติเมตร มีเส้นกลางใบเป็นร่องสีเขียวเข้มชัดเจน
         ดอกเดหลี ออกดอกเป็นช่อ แทงออกจากยอดของลำต้น ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ปลายก้านดอกประกอบด้วยใบประดับสีขาวนวล 1 ใบ มีลักษณะเป็นรูปหัวใจสวยงาม โคนใบกว้างเว้าตรงกลาง ปลายใบแหลม กว้างประมาณ 8-12 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร ถัดมาเป็นช่อดอกที่มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก ซึ่งประกอบด้วยดอกย่อยที่ไม่มีก้านดอก ขนาดเล็กจำนวนมาก คล้ายกับไข่แมงดานา โดยดอกย่อยแต่ละดอกมีสีเหลืองอ่อน ซึ่งเมื่อบานจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆนาน 8-10 วัน ซึ่งจะส่งกลิ่นหอมแรงในช่วงเช้า ทั้งนี้ เดหลีจะออกดอกได้ตลอดทั้งปี และออกดอกมากในฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน
• วงศ์ : Araceae

ประโยชน์เดหลี
1. เดหลีนิยมปลูกเป็นไม้ประดับต้น และประดับดอก เนื่องจาก ลำต้น และใบมีสีเขียวเข้ม ใบมีขนาดใหญ่ ส่วนดอกจะมีสีขาว สามารถให้ดอกได้ตลอดทั้งปี
2. เดหลี นอกจากจะปลูกประดับแล้ว ยังจัดเป็นไม้มงคลที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้ปลูกมีอายุมั่นขวัญยืน ช่วยปัดเป่าภัย และนำโชคลาภมาให้
3. เนื่องจากต้นเดหลีมีใบขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม จึงเชื่อว่าเป็นไม้ที่ช่วยดูดซับสารพิษได้ดี จึงนิยมปลูกในกระถางสำหรับตั้งไว้ในอาคาร ในห้องรับแขกหรือในห้องทำงาน เพื่อช่วยดูดซับสารมลพิษ
4. ดอกเดหลีเมื่อออกดอกจะมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำต้นเดหลีที่ออกดอกแล้วมาวางไว้ในบ้านหรือห้องรับแขกสำหรับปรับกลิ่นอากาศ ซึ่งสามารถให้กลิ่นหอมได้นาน 8-10 วัน ในการออกดอกแต่ละครั้ง และส่งกลิ่นหอมมากในช่วงเช้า เวลา 07.00-10.00 น.
5. ดอกเดหลีมีกลิ่นหอมที่เป็นสารล่อแมลงวันผลไม้ได้ ดังนั้น บางบ้านมักใช้เดหลีล่อแมลงวันผลไม้มารวมกันเพื่อกำจัด นอกจากนั้น อาจนำเดหลีไปปลูกในสวนผลไม้เพื่อเป็นแหล่งล่อแมลงวันผลไม้ให้ออกห่างจากผลไม้ โดยเฉพาะในช่วงการเก็บผลผลิต ทั้งนี้ ดอกเดหลี 3-4 ดอก จะมีความสามารถล่อแมลงวันผลไม้เทียบเท่ากับสารเมธิลยูจินอล 0.5 ซีซี (ที่มา : 1)

การปลูกเดหลี
      เดหลี เป็นไม้ดอกที่ชอบดินร่วน และมีความชื้นสูง ชอบแสงแดดรำไร อุณหภูมิประมาณ 18-25 องศา ซึ่งสามารถปลูกได้ทั้งในกระถาง และปลูกในแปลงใต้ต้นไม้ใหญ่
      เดหลีนิยมปลูกด้วยการแยกหน่อหรือต้นอ่อนเป็นหลัก เนื่องจากดอกติดเมล็ดได้น้อยมาก ส่วนการปักชำไม่นิยมเช่นกัน เพราะจะต้องตัดต้นมาปักชำเท่านั้น เนื่องจากลำต้นไม่แตกกิ่ง แต่จะใช้ในกรณีที่ต้องถอนต้นหรือตัดต้นทิ้งจากแปลง เพื่อให้ต้นเกิดราก และเติบโตใหม่ ทั้งนี้ เดหลีนิยมปลูกทั้งในกระถางสำหรับตั้งไว้ในอาคาร และปลูกในแปลงจัดสวนบริเวณที่มีร่มไม้ใหญ่หรือมีแสงส่องรำไร
การเตรียมดิน
        เดหลี เป็นไม้ที่ชอบดินร่วนซุย ดังนั้น ดินหรือวัสดุที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนหรือนำดินร่วนมาผสมกับปุ๋ยคอกหรือวัสดุอินทรีย์อื่นๆ เช่น แกลบดำ ขุ๋ยมะพร้าวเป็นต้น
การแยกหน่อ
        เดหลีที่ปลูกนานกว่า 1 ปี จะเริ่มแตกหน่อได้อย่างรวดเร็ว และสำหรับหน่อเดหลีที่ใช้แยกปลูก ควรมีความสูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร นอกจาก การแยกหน่อแล้ว ยังสามารถแยกเหง้าหรือต้นออกปลูกได้ด้วย ทั้งนี้ การขุดหน่อหรือแยกต้นออกปลูกให้ขุดเปิดหน้าดินจนเห็นหน่อหรือรอยต่อของต้นก่อน หลังจากนั้น ให้ใช้มีดหรือเสียมเล็กแทงตัดหน่อหรือลำต้นออก และจะต้องให้มีรากติดหน่อหรือลำต้นมาด้วยทุกครั้ง
วิธีปักชำ
       วิธีนี้เพาะนี้ ไม่เป็นที่นิยม และไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะลำต้นมักเน่าหรือแห้งตายก่อน ซึ่งมักใช้ในกรณีที่ต้องตัดต้นทิ้งจากแหล่งปลูก และบริเวณเหง้าเสียหายจนต้องตัดทิ้ง ทำได้ด้วยการตัดโคนลำต้น แล้วนำปักชำลงแปลงหรือในกระถาง ก่อนจะรดน้ำจนกว่าต้นจะติดหรือรากแทงออก
การดูแล
       – รดน้ำ ควรให้น้ำเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อย 2 วันต่อครั้ง ในปริมาณที่เพียงหน้าดินชุ่ม
       – ใส่ปุ๋ย ควรเน้นที่ปุ๋ยคอกเป็นหลัก ให้ 2-3 เดือน/ครั้ง แต่ละครั้งให้ 1-2 กำมือ หรืออาจให้ร่วมกับปุ๋ยสูตร 15-15-15 ด้วยการละลายน้ำ 1 หยิบมือ ในทุกๆปีละ 2 ครั้ง

การวางกระถาง
        เดหลีเป็นไม้ที่ชอบแสงรำไร และมีอากาศไม่ร้อนมาก จึงต้องวางกระถางในที่ร่มหรือในอาคารที่แสงแดดส่องถึงน้อย แต่หากปลูกหรือวางในแปลง ควรปลูกหรือวางกระถางไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการวางกระถางหรือปลูกลงแปลงที่มีแสงแดดส่องทั้งวัน เพราะจะทำให้ใบมีสีซีดลง

เศรษฐีเรือนใน

เศรษฐีเรือนใน


          ว่านเศรษฐีเรือนใน มีสรรพคุณด้านเสี่ยงทายและป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เช่นเดียวกับว่านเศรษฐีเรือนนอก และเศรษฐีเรือนกลาง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Chlorophytum Comosum
ชื่อสามัญ : Spider Plant
วงศ์ : Liliaceae (Lily)
ถิ่นกำเนิด : อัฟริกาใต้ เป็นพืชพื้นเมืองของกาบอง
แสงแดด : กึ่งแดด กึ่งร่ม

อุณหภูมิ : 18–24 องศาเซลเซียส
ลักษณะทั่วไป
           เศรษฐีเรือนในเป็นไม้กอขนาดเล็ก ลักษณะใบเป็นใบเล็กเรียวสีเขียวอ่อน ๆ ตลอดใบ ตรงกลางใบไม้เป็นแถบสีขาวยาวตลอดทั้งใบเช่นกัน ความยาวของใบมีขนาดประมาณ 15-30 เซนติเมตร นิยมปลูกภายในอาคารเพราะเป็นพืชที่มีความสามารถในการดูดสารพิษ และฟอกอากาศได้ นอกจากนี้ต่างชาติยังเรียกว่า ต้นแมงมุม (Spider Plant) หรือ ต้นเครื่องบิน (Airplane Plant) เนื่องจากต้นจะแกว่งไป-มาเวลาที่ถูกลมพัด รวมทั้งยังเป็นต้นไม้มงคลที่ปลูกแล้วเชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวยเหมือนชื่อต้นอีกด้วย

วิธีการปลูกและดูแลรักษา
          เศรษฐีเรือนในเป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี นิยมปลูกในกระถางขนาดเล็กแบบแขวน สามารถปลูกได้ในที่ร่ม แต่ควรให้แดดส่องถึงพอประมาณ รวมทั้งควรรดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือสังเกตหน้าดินว่าแห้งหรือไม่ก็พอ เนื่องจากต้นเศรษฐีเรือนในไม่ค่อยชอบแดดและน้ำมากนัก อีกทั้งยังสามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายมากด้วยการตัดไปปลูกใหม่

ที่มา https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=fasaiwonmai&month=02-2013&date=06&group=2&gblog=469
        https://home.kapook.com/view83234.html

ว่านเสน่ห์ขุนแผน

ว่านเสน่ห์ขุนแผน


           เป็นว่านเสี่ยงทายของเจ้าของว่าน ถ้าว่านเจริญงอกงามดีย่อมหมายถึงว่าเจ้าของว่านเป็นผู้มีความเป็นอยู่เจริญดีมีความสุข และยังเป็นว่านเมตตามหานิยม บรรดานักเลงเจ้าชู้ทั้งหลายพยายามเสาะหาไว้เพราะเป็นว่านมหาเสน่ห์ชนิดหนึ่ง พ่อหม้าย แม่หม้าย หากมีไว้บูชาจะมีผู้เชยชมมิได้ขาด

ว่านเสน่ห์ขุนแผน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Calathea cv.Sanderiana
ชื่ออื่น : เสน่ห์ขุนแผน, ว่านดาบขุนแผน,ว่านพลายชุมพล
ถิ่นกำเนิด : เปรู
พื้นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน มีลายเส้นริ้วคล้ายก้างปลาพาดทั้งสองข้างของแผ่นใบ เมื่อใบอ่อน เส้นพาดจะมีสีชมพู พอแก่เปลี่ยนเป็นสีขาว ใต้ใบสีม่วงแดง ถ้าปลูกลงกระถางต้นใบจะไม่ใหญ่มาก แต่ถ้าปลูกลงดินต้นจะใหญ่มาก


ลักษณะทั่วไป ของ ว่านเสน่ห์ขุนแผน
            เป็นพันธุ์ไม้ล้มลุกที่มีลำต้นใต้ดิน หัวมีสีเหลืองออกน้ำตาล มีรากใหญ่และแข็งแรง ใบมีลักษณะเป็นใบรีรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือตัดห่อตัวเข้าหาก้านใบ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย พื้นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน มีลายเส้นริ้วคล้ายก้างปลาพาดทั้งสองข้างของแผ่นใบ เมื่อใบอ่อน เส้นพาดจะมีสีชมพู เมื่อแก่จะจางลงเป็นสีขาว จึงได้ชื่อว่าว่านสามกษัตริย์ ท้องใบมีสีม่วงแดง ลักษณะใบกว้าง แข็งและก้านใบยาว ดอกสีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง มีกาบรองดอกตั้งแต่สองใบขึ้นไปดอกย่อยมี กลีบเลี้ยงไม่เชื่อมติดกันชั้นของกลีบดอกเป็นท่อ แบ่งเป็นกลีบ 2-3 กลีบ โดยมีหนึ่งกลีบที่โค้งงอลง

การปลูกว่านเสน่ห์ขุนแผน
          ปลูกโดยใช้ดินร่วนที่มีความอุดมสมบูรณ์และระบายน้ำได้ดีเป็นดินปลูก เมื่อลงปลูกควรกลบดินให้มิดหน่อที่แยกมาปลูกหรือกลบให้พอมีหัวโผล่ดินบ้าง ควรปลูกว่านด้วยดินปนทรายรดน้ำมากๆ แต่ระวังอย่าให้ดินแฉะ ควรจัดวางให้ได้รับแสงแดดรำไรบ้างพอสมควร
         ลักษณะเป็นว่านมีหัว รากเป็นเส้นใหญ่ไม่แตกรากฝอย ลำต้นและใบเหมือนขมิ้น ลำต้นประกอบด้วยกาบของก้านใบหลายกาบซ้อนกัน ใบรูปใบพาย ปลายใบแหลม โคนใบมนสอบติดก้านใบ พื้นใบสีเขียว เส้นกลางใบสีแดงเข้มหรือแดงเลือดหมู ส่วนที่เห็นเป็นลำต้นเหนือดินสีแดงเข้มเช่นกัน ลำต้นส่วนที่ฝังอยู่ในดินและหัวเป็นสีขาวหรือขาวอมเขียว รากเป็นสีน้ำตาล ช่อดอกเป็นกาบเรียวซ้อนสับขวางกันหลายๆ กาบ กาบใบแต่ละกาบมีดอกสีเหลืองทองขนาดเล็ก กลิ่นหอมเย็น

การขยายพันธุ์ โดยการแยกหน่อ หรือแง่ง
         การใช้ประโยชน์: เป็น ว่าน ที่คนโบราณนับถือกันมาก เพราะนอกจากจะเป็น ว่าน ที่ปลูกไว้เป็นเสน่ห์มหานิยมแล้วยังเป็น ว่าน ที่แก้พิษงูได้อีกด้วย เป็น ว่าน เสี่ยงทายอีกต้นหนึ่ง โดยให้ดูการเจริญงอกงามของว่านเป็นที่สังเกต เมื่อจะทำกิจการใด ถ้าเห็นว่านนั้นมีลักษณะไปตามแรกอธิษฐานก็ให้พึงตัดสินใจตามนั้น

ต้นใบเงิน

ต้นใบเงิน คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นใบเงินไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเงินมีทองเพราะเป็นไม้มงคลนามนอกจากนี้คนไทยโบราณได้นำ ใบเงินใบทองม...