วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ดอกเหมย

ดอกเหมย


มีความหมายมงคลถึง ความชื่นบาน ความมีโชค ความยิ่งใหญ่ และอายุยืนยาวกับความอ่อนเยาว์ที่ยืนยง
...ถือเป็นหนึ่งในสามเกลอแห่งฤดูกาลอันหนาวเย็น คือ ไผ่ หลิว และเหมยหรือดอกบ๊วยนั่นเองค่ะ ✨

🔸 กวีจีนเปรียบความงามของดอกเหมยว่ามีกลีบดอกขาวประดุจหิมะ ก้านเขียวเหมือนสีหยก ได้รับสมญาว่า "ยอดแห่งความหอมของมวลดอกไม้"

โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ดอกไม้ชนิดอื่นจะร่วงโรยและเหี่ยวเฉา มีเพียงดอกเหมยเท่านั้นที่คงความงามและความสดชื่นอยู่จนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ

ดังนั้นดอกเหมยจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาของฤดูใบไม้ผลิด้วย รวมถึงเป็นสัญลักษณ์แห่งตรุษจีนและสัญลักษณ์แห่งความสุข

ลักษณะขอฃดอกเหมย
           ดอกเหมยเป็นดอกไม้ของจีนที่ค่อนข้างจะคุ้นหูคนไทยอีกชนิดหนึ่ง แต่เห็นจะมีน้อยคนเต็มทีที่จะเคยเห็นดอกเหมย คนจีนในเมืองไทยก็ไม่ค่อยจะได้เห็นดอกเหมยกันกี่คนนัก เพราะในเมืองไทยไม่มี แต่ถึงกระนั้นเราก็มักจะพูดถึงสาวจีนว่างามเหมือนดอกเหมย ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเหมยงามอย่างไร เรารู้แต่กิตติศัพท์ว่าดอกไม้ ที่เรียกว่าเหมยนั้นงามนัก

         ดอกเหมยมิใช่จะมีความงดงามอย่างเดียว หากมีคุณลักษณะอันสูงที่มักจะนำเอามาเป็นตัวอย่างแก่คนได้ด้วย ลักษณะของต้นเหมยเป็นอย่างไร เห็นจะต้องพึ่งคำอธิบายของ “เนียน” เพราะท่านผู้นี้เคยอยู่ในเมืองจีน จึงอธิบายได้ละเอียดดีมาก

        “ต้นบ๊วย (อ่านตามสำเนียงภาษาแต้จิ๋ว) หรือเหมย (อ่านตามสำเนียงภาษากลาง) เป็นต้นไม้ผล ขนาดไม่ใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีใบเป็นรูปมนๆรีๆ ร่วงในฤดูใบไม้ร่วงและมีดอกแย้มบานในระหว่างปลายฤดูหนาวติดต่อกับต้นฤดูใบไม้ผลิ ขณะที่อากาศกำลังหนาวจัด และต้นไม้อื่นๆ ยังไม่ผลิดอกออกใบเลย ดอกเหมยชนิดนี้มีสีขาวแกมเขียวน้อยๆ เรียกว่า ชี้งเอ้อเหมย Plum flower ดอกเหมยที่มีสีชนิดนี้ จัดว่าเป็นดอกเหมยที่มีสีที่ถูกแบบคือเป็นสีที่นิยมกันโดยทั่วไป ยังมีต้นเหมยอีกชนิดหนึ่งที่มีดอกเป็นสีแดงชมพูเข้ม ดอกเหมยที่มีสีนี้งามสู้ดอกเหมยที่มีสีขาวดังกล่าวแล้วนั้นไม่ได้ จึงไม่จัดว่าเป็นดอกเหมยที่มีสีที่ถูกแบบ หรือสีที่นิยมกันสำหรับดอกเหมย ส่วนต้นเหมยชนิดที่มีดอกเป็นสีเหลืองประดุจสีขี้ผึ้ง หรือที่เรียกว่าหล้าเหมยนั้น ไม่จัดเข้าในจำพวกต้นเหมย เรียกว่า ต้น¬หนาน ถึงแม้คนโดยมากจะเข้าใจกันว่าเป็นต้นเหมยก็ดี เพราะฉะนั้น ดอกเหมยที่จะกล่าวถึงในที่นี้ จึงขอกล่าวถึงแต่ดอกเหมยชนิดที่มีสีขาว และแย้มบานในฤดูหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นดอกเหมยที่ได้รับรองกันในวงจินตกวีทั้งหลายว่าเป็นดอกเหมยที่เกิดจากพันธุ์แท้

            ลักษณะหรือรูปร่างของดอกเหมยเป็นดังนี้คือ ดอกหนึ่ง มีกลบมนๆ สีขาวโดยรอบ มีเกสรสีเหลืองอ่อนกระจายอยู่ตรงใจกลาง ดอกเหล่านี้ติดอยู่ประปรายตามกิ่งซึ่งปราศจากใบ ความบริสุทธิ์สดชื่นสวยงามที่มีอยู่ในรูปร่างลักษณะอันเรียบๆ แต่เป็นระเบียบนี้งามยิ่งนัก…อันกลิ่นหอมของดอกเหมยนี้ มีลักษณะค่อนข้างประหลาดพิสดารมาก กล่าวคือมีกลิ่นหอมรวยๆ รื่นๆ คล้ายกับเราได้กลิ่นดอกไม้ เมื่อเรายืนอยู่ทางปลายลม เราไม่รู้ว่ากลิ่นหอมนั้นแอบแฝงอยู่ที่ไหน แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็รู้ได้ว่ากลิ่นหอมนี้กำลังมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเราลองเอาจมูกไปดมที่ดอกอย่างใกล้ชิด เพื่อจะสูดเอากลิ่นอันหอมหวนนั้นเข้าไปให้เต็มปอด หรือเพื่อที่จะชื่นใจเต็มที่ สิ่งที่เราสูดเข้าไปก็คืออากาศเราดีๆ นี่เอง ไม่มีกลิ่นหอมอะไรสักนิด แต่ทุกครั้งที่เราแง้มบานหน้าต่างหรือเปิดประตูออกไป เราจะรู้สึกได้ทันทีว่าดอกเหมยในสวน หรือในสนามเราได้กำลังบานแล้ว และขณะที่เรากำลังเดินอยู่ในกลางแจ้ง อากาศรอบๆ ตัวเราจะมีกลิ่นหอมหวนอวนอบ ไปด้วยกลิ่นหอมอันประหลาดพิสดารนี้ ทั้งๆ ที่เรายังไม่ทันจะได้มองเห็นต้นของดอกเหมยเลยแม้แต่ต้นเดียว พูดง่ายๆ ก็คือกลิ่นของดอกเหมยไม่ได้อยู่ที่ในตัวของดอกเหมย แต่อยู่ในอากาศรอบๆ ตัวของดอกเหมยนั่นเอง เพราะฉะนั้นดอกเหมยจึงเป็นดอกไม้ชนิดที่เราทุกคน เพียงแต่ได้ยืนชมดมกลิ่นอยู่ห่างๆ อันการจะอาจเอื้อมไปเด็ดมาดมเล่นนั้น นับว่าเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ทีเดียวฯ

            อันกลิ่นหอมของดอกเหมยนั้นเล่าก็เป็นลักษณะ (character) อันหนึ่งของสุภาพชนเหมือนกัน คือสุภาพชนจะต้องเป็นผู้ที่มีธรรมจรรยาและความรู้อันสูงคล้ายดอกเหมยที่มีกลิ่นหอมอันพิสดารฉะนั้น ทั้งนี้เพื่อจะให้ผู้ที่อยู่ข้างเคียงได้แต่เพียงนิยมนับถืออยู่ห่างๆ มิอาจมาลวนลาม หรือกระทำให้เสื่อมเสียได้ ในปัจจุบันนี้ดอกเหมยเป็นดอกไม้ที่รัฐบาลและประชาชนชาวจีนยกย่องให้เป็นกว๋อฮว้า หรือดอกไม้ประจำชาติจีน”


วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ว่านมหาลาภ

ว่านมหาลาภ


         ว่านมหาลาภ หรือ เรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านกวักนางพญาหงสาวดี เป็น มีคุณประโยชน์ด้านเมตตามหานิยม ปลูกเลี้ยงดีจะชักนำให้เกิดลาภผลทวีคูณหลายประการ ส่วนใหญ่มักปลูกคู่กับว่านมหาโชค และปลูกเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย  คือ หากว่านเจริญงอกงามดี ออกดอกดกดี ผู้ปลูกมักจะได้ลาภจากการเสี่ยงโชคเสมอ ในทางกลับกันหากว่าต้นอับเฉาไม่ออกดอกเป็นลางบอกเหตุว่าจะอับโชค เสียทรัพย์ เชื่อกันถ้าบ้านหลังใดมีว่านมหาโชค ว่านมหาลาภ และว่านมหาบัว โบราญถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งเพราะครบกลุ่มไตรภาคี คือ มีโชค มีลาภ มีศิริมงคลและความสุข การปลูกว่านมหาลาภถ้าจะให้ขลังควรปลูกในวันศุกร์ข้างขึ้นจะดีที่สุด เวลารดน้ำให้เสกน้ำรดด้วยคาถา “ มหาลาโภโหตุ ภะวันตุเม 3 จบเสียก่อนจึงรดน้ำ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
         ราก และลำต้น ลำต้นแท้ของว่านมหาลาภจะเป็นหัวที่อยู่ใต้ดิน ที่มาจากกาบใบที่แปรมาเป็นแผ่นกาบเรียงหุ้มซ้อนกันแน่นในหลายชั้น รูปทรงหัวมีลักษณะกลม และแบน มีชั้นนอกบางมากคล้ายกระดาษหุ้มไว้ ชั้นนอกนี้มีสีสีน้ำตาลที่ทำหน้าที่รักษาความชื้นไม่ให้น้ำระเหยไปจากหัว รวมถึงป้องกันอันตรายจากโรค และแมลงต่างๆ ส่วนรากมีระบบเป็นรากฝอยสีขาว มีรูปทรงกลม เรียวเล็ก อวบน้ำ ส่วนปลายแหลม และมีแขนง โดยรากแทงออกจากฐานหัว จำนวน 35-40 ราก/ต้น
         ใบ ใบว่านมหาลาภเป็นส่วนที่อยู่เหนือดินทำให้มองเห็นเป็นลำต้น หรือเรียกทางวิชาการว่า ลำต้นเทียม สูงประมาณ 35-40 ซม. ประกอบด้วยก้านใบที่แทงออกจากตายอดเหนือหัว แยกเป็นก้านใบเดี่ยวๆ ก้านใบมีลักษณะแบน ยาว 15-20 ซม. กว้าง 1-1.5 ซม. แผ่นใบที่มีรูปไข่ ยาวประมาณ 20-25 ซม. กว้างประมาณ 8-12 ซม. โคนใบแคบ ปลายใบแหลม กลางใบขยายกว้าง แผ่นใบเรียบ ขอบใบเรียบ และเป็นมัน มีเส้นกลางใบมองเห็นชัดเจน ใบอ่อนจะม้วนตัวลง จำนวนใบ 1-3 ใบ/ต้น
         ดอก ดอกว่านมหาลาภจะมีสีส้ม แทงออกเป็นช่อ ประกอบด้วยดอก 5-13 ดอก ดอกมีกลีบดอก 6 กลีบ ยาวประมาณ 1 ซม. มีโคนกลีบเชื่อมติดกันทำให้มองเป็นรูปกรวย ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 6 อัน เกสรตัวผู้มีสีเขียว และมีก้านชูเกสรสีเหลืองอ่อน ถัดมาเป็นเกสรตัวเมียที่มีรังไข่ด้านล่าง และส่วนบนเป็นก้านชูเกสร 1 อัน ยาว 5-7 ซม. โค้งงอขึ้นด้านบน


ประโยชน์ และฤทธิ์มงคลว่านมหาลาภ
          1. ว่านมหาลาภ จัดเป็นว่านมหานิยม นิยมปลูกเป็นว่านมงคลที่มีความเชื่อว่าจะนำโชคลาภ เงินทอง และความร่ำรวยมาแก่ผู้ปลูกหรือคนในครอบครัว มักปลูกในกระถางหรือในแปลงไว้หลังบ้าน และหน้าบ้าน โดยเฉพาะหากมีการค้าขายจะนิยมปลูกที่หน้าร้านค้า ช่วยให้มีคนเข้าร้านมากขึ้น และมักปลูกคู่กับว่านมหาโชค ซึ่งเป็นว่านที่จะช่วยส่งเสริมในด้านต่างๆคู่กัน แต่ในตำราว่านจะแนะนำว่า หากปลูกแล้วห้ามขี้เกียจทำงาน ไม่ใช่จะรอหวังโชคลาภที่อาจได้มาจากการปลูกว่าน
          2. ใบ และลำต้นว่านมหาลาภมีความโดดเด่น ใบสีเขียวสดสวยงาม รวมถึงดอกที่มีสีส้มแดง ออกดอกเป็นช่อสวยงาม จึงนิยมปลูกสำหรับเป็นไม้ประดับต้น และประดับดอก
         3. ว่านมหาลาภจัดเป็นว่านต่างถิ่นที่หายาก จึงนิยมปลูกไว้เป็นว่านสะสม

การปลูกว่านมหาลาภ
        การปลูกว่านมหาลาภสามารถปลูกได้ด้วยการเพาะเมล็ด และการแยกหัวปลูก รวมถึงการผ่าหัวเป็นซีกๆ แยกออกปลูกก็ทำได้เช่นกันคล้ายกับ ว่านสี่ทิศ ด้วยการผ่าหัวในแนวตั้งออกเป็นซีกๆ โดยให้แต่ละซีกผ่านฐานหัว และแต่ละซีกจะต้องมีรากติดมาด้วย ก่อนนำลงปักในดินบนกระถางชำ และรดน้ำ ดูแลต่อจนกว่าจะแตกหน่อขึ้นใหม่

ที่มาhttp://puechkaset.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A0/
      http://saimherbal.blogspot.com/2012/02/blog-post_2924.html

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561

พรมกำมะหยี่

พรมกำมะหยี่
ต้นไม้ในร่ม ปลูกในบ้านได้


ต้นเงินไหลมา

ต้นเงินไหลมา

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

         คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเงินไหลมาไว้ประจำบ้าน จะทำให้เกิดความร่ำรวย เพราะเงินไหลมาเป็นไม้มงคลนาม สามารถทำให้เงินทองไหลมาสู่บ้านและผู้อาศัย จึงทำให้เกิดความมั่งมี และยังมีความเชื่ออีกว่าต้นเงินไหลมายังช่วยสร้างความเป็นเสน่ห์แก่บ้านผู้อาศัย เพราะลักษณะใบของต้นเงินไหลมามีสีสรรค์ สวยงามสีกลางใบคล้ายเงิน

ชื่อวิทยาศาสตร์: Syngonium  podophyllum   Schott.
ชื่อวงศ์: ARACEAE
ชื่อสามัญ:  Tricolor Nepthytis
ถิ่นกำเนิด: เม๊กซิโกถึงบราซิล  และโบลิเวีย

ลักษณะวิสัย: ไม้เลื้อย
ลักษณะทั่วไป: ไม้เลื้อยอายุหลายปี   ต้นอวบน้ำ  เลื้อยพันรากพิเศษที่ออกตามข้อใบลำต้นสีเขียวอมเทา
          ใบ :    เป็นใบเดี่ยว  ใบอ่อนเป็นรูปหัวใจ  เมื่อมีอายุมากขึ้นจะเป็นรูปหัวลูกศร  โคนเป็นเงี่ยงหอก 
สีเขียวเป็นมัน ต่างสีขาวตามแนวเส้นใบ ก้านใบยาว
          ดอก : ออกดอกเป็นช่อ  คล้ายดอกหน้าวัว
          ผล :   ไม่พบว่าติดผลในบ้านเรา ขณะต้นยังเล็กจะมีลักษณะเป็นพุ่ม และจะดอกเลื้อยเมื่อ มีอายุมากขึ้น
          ซึ่งรูปร่าง ขนาด ลวดลาย และลักษณะของใบจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่นกัน ปัจจุบันมีพันธุ์ใหม่
สีและลายสวยงาม
          ส่วนที่เป็นพิเศษ: น้ำยางจากทุกส่วนของต้น  ถ้าสัมผัสจะทำให้เกิดผื่นคัน โดยการกิน  จะทำให้คันปาก  ปากและทางเดินอาหารอักเสบ
          ประโยชน์ :ใช้เป็นไม้ประดับสวยงาม
          การขยายพันธุ์: ปักชำ
          การกระจายพันธุ์ : การปลูกมี 2 วิธี คือ การปลูกในกระถาง และการปลูกในแปลงปลูก

ที่มา http://e-learning.shc.ac.th/shcbotanical/botanical-garden/57.htm

ต้นใบละบาท

ต้นใบละบาท

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ต้นใบละบาท

         คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นใบละบาทไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความร่ำรวยด้วยเงินตราเพราะถ้าหากผู้ใดปลูกต้นละบาท สามารถมีใบที่สวยงามและมีจำนวนใบมากขึ้นจะทำให้มีเงินเพิ่มมากขึ้นด้วยเนื่องจากการแตกใบ1ใบก็มีค่าเท่ากับ1บาทดังนั้นถ้า หากแตกใบหลายใบก็จะมีจำนวนเงินเพิ่มขึ้นหลายบาทตามไปด้วย นอกจากนี้ลักษณะใต้ใบก็ยังมีสีคล้ายกับเงินเคลือบอยู่ด้วย

          ลักษณะทั่วไปใบละบาทเป็นพรรณไม้ยืนต้นประเภทเถาเลื้อยลำต้นมีความยาวประมาณ1015เมตรชอบเลื้อยไปตามกิ่งไม้หรือต้นไม้ใหญ่เลื้อยไปได้ไกลแตกกิ่งก้านและใบคลุมแน่นทึบลำต้นสีเขียวมีขนอ่อนๆสีขาคลุมทั่วต้นลำต้นอวบน้ำใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกสลับกันเป็น คู่จากข้อของลำต้นใบใหญ่ลักษณะรูปใบโพธิ์สีเขียวสดใต้ใบจะมีขนอ่อนสีขาวเคลือบอยู่ทั่วใต้ใบขนาดกว้างประมาณ812เซนติเมตร ยาวประมาณ 12-18 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อออกตามส่วนยอด ช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 3-5 ดอก ปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก ดอกมีสีชมพู ตรงกลางดอกเป็นหลอดสีม่วงลักษณะดอกคล้ายดอกผักบุ้งการเป็นมงคลคนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นใบละบาทไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดความร่ำรวยด้วยเงินตราเพราะถ้าหากผู้ใดปลูกต้นละบาท สามารถมีใบที่สวยงามและมีจำนวนใบมากขึ้นจะทำให้มีเงินเพิ่มมากขึ้นด้วยเนื่องจากการแตกใบ1ใบก็มีค่าเท่ากับ1บาทดังนั้นถ้า หากแตกใบหลายใบก็จะมีจำนวนเงินเพิ่มขึ้นหลายบาทตามไปด้วย นอกจากนี้ลักษณะใต้ใบก็ยังมีสีคล้ายกับเงินเคลือบอยู่ด้วย ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นใบละบาท ไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคารเพราะ โบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบ ให้ปลูกในวันอังคารการปลูก นิยมปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนในละบาทเป็นพรรณไม้เลื้อยดังนั้นจึงควรทำร้านหรือซุ้มเพื่อให้ลำต้นเลื้อยขึ้นไปขนาดหลุมปลูก30x30x30เซนติเมตรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักดินร่วนอัตรา1:2ผสมดินปลูกคนไทยโบราณมักปลูกไว้ริมรั้วบ้าน เพราะสะดวกต่อการเกาะเลื้อย และแผ่ขยายลำต้นไปได้ไกล
การดูแลรักษา
แสง                         ต้องการแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง

น้ำ                             ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง

ดิน                            ดินร่วนซุย ดินผสมอินทรีย์ ความชื้นปานกลาง

ปุ๋ย                            ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-5 ครั้ง

การขยายพันธ์          การปักชำ การตอน วิธีที่นิยมและได้ผลดี   การตอน

โรค                          ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคเพราะเป็นไม้ที่ทนทานต่อการเกิดโรคพอสมควร

แมลง                        เพลี้ยต่าง ๆ (Aphis)

อาการ                        กัดแทะใบ ทำให้ใบเหลือง ชะงักการเจริญเติบโต

การป้องกัน                รักษาความสะอาดบริเวณแปลงปลูก

การกำจัด                   ใช้ยาคาราเทน อัตราและคำแนะนำระบุไว้ในฉลาก

ที่มาhttp://www.maipradabonline.com/maileay/bilabath.htm

ต้นเงินเต็มบ้าน

ต้นเงินเต็มบ้าน


         ต้นเงินเต็มบ้านเป็นอีกหนึ่งไม้มงคล ปลูกแล้วรวย ที่เชื่อว่าหากนำมาปลูกไว้ในบ้านจะช่วยเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล ทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเงินทองกองเต็มบ้านและทำให้คนในบ้านเจริญรุ่งเรืองค่ะ

        ลักษณะของต้นเงินเต็มบ้านคือ เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบเรียวยาว ปลายใบแหลมคล้ายรูปหัวใจ มีสีเขียวเหลือบสีเทาเงิน มีปื้นสีเขียวหรือเขียวอมเทาที่ขอบใบ ใต้ใบและก้านใบมีสีเขียวเข้ม ส่วนโคนกาบใบมีลายขีดสีเทาจาง วิธีการปลูกคือ ตัดลำต้นจากต้นที่สมบูรณ์ มาปลูกในกระถางดินร่วนผสมปุ๋ยคอก รดน้ำปานกลางและตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร

         ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่นิยมนำมาปลูกไว้ที่บ้าน เสริมความเป็นมงคล ความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิตหน้าที่การงาน และมีเงินทองกองเต็มบ้านอีกด้วย
        เป็นไม้ที่ไม่ชอบแดดมากนัก อยู่รำไร ไม่ต้องดูแลมากนัก พรวนดิน+ใส่ปุ๋ย 16-16-16 ประมาณ 2 เดือนครั้งก็ใบเขียวสวยดี ขยายพันธ์ง่าย เพียงตัดลำต้นไปปลูกใหม่ก็ขึ้นแล้ว หรือหากกระถางเดิมที่ปลูกไว้มันเต็มเกินไปรูปทรงไม่สวยสามารถตัดทิ้งได้ ไม่นานก็จะออกใบใหม่สวยงามเหมือนเดิม 

ที่มา https://today.line.me/th/pc/article/9+%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5+%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99+%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82-8e08lz

หว่านรวยไม่เลิก

หว่านรวยไม่เลิก


        ต้นไม้มงคลปลูกแล้วรวย ช่วยเสริมโชคลาภ ว่านนี้เป็นไม้อวบน้ำ ตระกูลเดียวกับกระบองเพชร ชอบดินร่วน ชอบแดดไม่จัดมาก และมีการระบายน้ำได้ดี ลักษณะของใบจะนิ่ม ๆ เหมือนยาง ด้านบนจะมีจุด ๆ สีเขียวเข้มบนพื้นใบสีเขียวอ่อนเหมือนใบเป็นรอยช้ำ การดูแลรักษาง่ายมาก ๆ แค่ให้แสงแดดรำไร ๆ ส่องถึงต้น และรดน้ำให้ชุ่มเพียงวันละ 1 ครั้งก็พอแล้ว แถมการขยาย/ แพร่พันธ์ก็แสนง่าย เพียงตัดครึ่งใบเสียบปัก / วางลงดิน ไม่กี่วันก็แตกหน่อน้อยแล้ว
          ต้นรวยไม่เลิกนั้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ  DRIMIOPSIS MACULATE  LINDL. & PAXTON  จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับลิลลี่  มีต้นกำเนิดจากแอฟริกาใต้  
ซึ่งบ้านเรานิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ตกแต่งสวนหรือตามสถานที่ต่างๆ เช่น ระเบียง ริมรั้วหรือทางเดิน 


      รวยไม่เลิกมีลักษณะเป็นลำต้นอยู่ใต้ดิน เป็นหัวกลมๆคล้ายหอมหัวใหญ่แต่ขนาดจะเล็กกว่า




       ใบเป็นแผ่นยาวหนานุ่ม  หน้าใบมีจุดด่างตลอดทั้งใบ ใต้ใบไม่มีจุด  



      รวยไม่เลิกออกดอกสีขาวมีก้านชูดอกยาวออกมาจากลำต้น   

            สำหรับการขยายพันธุ์นั้นการแยกหน่อและปักชำใบเป็นวิธีการหนึ่งที่ ได้รับความนิยมมากที่สุด  เมื่อต้นรวยไม่เลิกแตกหน่อ จะมีหน่ออ่อนจากต้นเก่างอกออกมา ซึ่งมีขนาดเล็กมากๆ ต้องรอให้ขนาดของหน่ออ่อนมีขนาดใหญ่เท่าเหรียญสิบถึงจะเหมาะสมแก่การแยกหน่อไปปลูก หลังจากแยกหน่อใบเลี้ยงเดิมจะเหี่ยวประมาณสองสามวันก็จะฟื้นตัวอีกครั้ง


         ส่วนการขยายพันธุ์โดยปักชำใบนั้น  ทำได้โดยการตัดใบวางลงดินไม่นานจะมีหน่ออ่อนเล็กๆงอกออกมาใต้ใบมากมาย สามารถนำไปเพาะปลูกได้อีก




         ด้านการดูแลรักษานั้น  ต้นรวยไม่เลิกเป็นต้นไม้ที่ชอบน้ำและแสงแดดรำไร  อากาศถ่ายเทสะดวก  ไม่ควรถูกแสงแดดจัดเพราะใบจะเฉา   หากได้รับการดูแลด้วยปัจจัยที่เหมาะสม ต้นรวยไม่เลิกก็สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี  จะนำไปขยายพันธุ์เพื่อจำหน่าย ก็ได้ปริมาณมาก แยกกอไม่หวาดไม่ไหวกันเลยทีเดียวครับ 

        


วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ต้นขนุน

ต้นขนุน

04_19
          อีกหนึ่งต้นไม้ชื่อมงคลที่คนนิยมปลูกเช่นกัน เพราะตามความเชื่อของคนโบราณ บอกกันว่า การปลูกต้นขนุนจะทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับการสนับสนุน มีคนคอยอุปการะอุดหนุนจุนเจือ คอยให้ความช่วยเหลือ มีคนสรรเสริญ สามารถป้องกันอันตรายและคนใส่ร้ายป้ายสีได้ ซึ่งหากบ้านไหนคิดจะปลูกต้นขนุนแล้วล่ะก็ ควรเลือกปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะดีที่สุด โดยให้หัวหน้าครอบครัวเป็นคนลงมือปลูกในวันจันทร์ หรือวันพฤหัสบดี

การปลูกขนุน
 ขนุนที่นิยมปลูกกันทั่วไปอยู่มี 2 ประเภท คือ ขนุนหนัง และขนุนละมุด
          1. ขนุนหนัง ลักษณะเนื้อยวงแห้งกรอบ สีเหลืองทอง สีจำปา ยวงโตเนื้อแน่นหวานกรอบนิยมปลูกกันโดยทั่วไปขนุนหนังมีอยู่หลาย
พันธุ์เช่น จำปา ตาบ๊วย ฟ้าถล่ม เป็นต้น 
          2. ขนุนละมุด ลักษณะเนื้อยวงเปียก เละเหนียว เนื้อค่อนข้างบาง ยวงเล็ก รสหวาน มีกลิ่นหอม ขนุนพันธุ์นี้ ไม่ค่อยนิยมปลูกกันมากนัก อีกพวกหนึ่ง ซึ่งนิยมปลูกกันมากทางภาคใต้ของประเทศไทยคือ จำปาดะ ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายขนุน ผลเล็กยาวเรียวคล้ายผลฟัก เปลือกบาง เนื้อเละ รสหวาน กลิ่นหอม

การปลูกและการดูแลรักษา แนะนำให้ปฏิบัติ ดังนี้
1. การเตรียมดิน
           1.1 ใน ที่ลุ่มน้ำท่วมถึง เช่นที่ราบลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ การปลูกขนุนในที่ ดังกล่าวต้องยกร่องเสียก่อน เช่นเดียวกับร่องผัก หรือร่องสวนในที่ลุ่ม เพื่อป้องกัน ไม่ให้น้ำท่วมถึงโคนต้นได้ ขนาดของร่องกว้างประมาณ 4-6 เมตร คูน้ำกว้าง 1.5 เมตร ส่วนความยาวของร่องขึ้นอยู่ กับขนาดของพื้นที่และความต้องการ ความสูง ของร่องยิ่งสูงมากยิ่งดี รากขนุนจะได้หยั่งลึกและเติบโตอย่างเต็มที่ เมื่อขุดยกร่อง เสร็จแล้วทำการปรับปรุงดินให้ร่วนซุยโดยการขุดตากดิน ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เศษอินทรีย์วัตถุต่าง ๆ เพราะดินในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำมักจะเป็นดินเหนียว จัด ไม่ค่อยเหมาะต่อการเจริญเติบโตของไม้ยืนต้น ในที่ซึ่งเห็นว่าดินยังไม่ ดีพอ ดินยังเหนียวอยู่มาก ควรจะปลูกพืชพวกรากตื้น ๆ หรือปลูกผักก่อนสัก 2-3 ปี แล้วจึงปลูกขนุน ส่วนในที่เป็นร่องสวนเก่ามีคันคูอยู่แล้ว เคยปลูกพืชอย่างอื่นจนดินร่วนซุยดี แล้วก็อาจจะทำการปรับปรุงดินอีกเล็กน้อยแล้วลงมือปลูกได้เลย
           1.2 ในพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึง ที่ป่า ที่เขา ถ้าเป็นที่ ๆ เคยปลูกพืชอย่างอื่น อยู่แล้วก็ไม่ต้องเตรียมดินมาก เพราะที่จะโล่งเตียนอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับปรุงหน้าดิน โดยการไถพรวน ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักให้ดินดีขึ้น ส่วนที่เป็นป่าเปิดใหม่ต้องถางที่ให้ โล่งเตียน ไม่ให้มีไม้อย่างอื่นปนอยู่ ถ้าไถพรวนได้สักครั้งสองครั้งก็จะเป็นการดี ที่ดังกล่าวมักเป็นดินที่ร่วนชุยอยู่แล้ว ในที่บางแห่ง เช่นป่าเปิดใหม่มักจะมีอินทรียวัตถุ อยู่มากตามธรรมชาติก็ไม่จำเป็นต้องหามาเพิ่มเติม ส่วนในที่ ๆ เห็นว่าเป็นทรายจัด อินทรียวัตถุค่อนข้างน้อยก็ควรใส่เพิ่มโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น มูลสัตว์ ต่าง ๆ เศษใบไม้ใบหญ้าที่แห้งผุพัง กากถั่ว เปลือกถั่ว เป็นต้น หรือจะปรับปรุงดิน โดยใช้ปุ๋ยพืชสดก็ได้โดยการปลูกพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ แล้วไถกลบให้ต้นถั่วสลายตัวผุพัง อยู่ในดิน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ดินร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดี ทำให้ดิน อุ้มน้ำดี เหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นขนุน

2. การขุดหลุมปลูก
           การปลูกทั้งแบบยกร่องและแบบปลูกในที่ดอน ควรปลูกเป็นแถวเป็น แนว เพื่อสะดวกในการดูแลรักษา และการปฎิบัติงานสวน ระยะห่างระหว่างต้นหรือ ระหว่างหลุมคือ 8 x 10 เมตร หรือ 10 x l2 เมตร เป็นระยะที่เหมาะสำหรับการปลูก แบบไร่ หรือถี่กว่านี้ขี้นอยู่กับพันธุ์และความเหมาะสมต่าง ๆ ส่วนการปลูก แบบร่อง ต้นขนุนมักมีขนาดเล็กกว่าการปลูกแบบไร่ ระยะห่างระหว่างต้นอาจ ถี่กว่านี้ก็ได้  ขนาดของหลุมปลูก ให้ขุดหลุมขนาด กว้าง ยาว ลึก 50-100 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ถ้าดินดีร่วนซุยมีพวกอินทรีย์วัตถุมาก ขุดหลุมขนาด 50 เซนติเมตร ก็พอ ส่วนที่ดินไม่ค่อยดีให้ขุดหลุมขนาดใหญ่ เพื่อจะ ได้ปรับปรุงดินในหลุมปลูกให้ดีขึ้น ทำให้รากเจริญเติบโตได้ดี ดินที่ขุดขึ้นมาจาก หลุมนั้นให้แยกเป็นสองกอง คือดินชั้นบนกองหนึ่งและดินชั้นล่างอีกกองหนึ่ง ตากดินที่ขุดขึ้นมาประมาณ l5-20 วัน แล้วผสมดินทั้งสองกองนั้นด้วยปุ๋ยคอก และปุ๋ยหมักอัตรา 1-2 ถังก่อสร้าง หรือผสมปุ๋ยอินทรีย์ตรายักษ์เขียว อัตรา 1-2 กก.ต่อ หลุม แล้วกลบดินลงในหลุมตามเดิมโดยให้ดินชั้นบนลงไว้ก้นหลุม และดิน ชั้นล่างกลบไว้ด้านบน ดินที่กลบลงไปจะสูงเกินปากหลุม ปล่อยทิ้งไว้ให้ดินยุบตัวดี เสียก่อนจึงจะลงมือปลูก

3. วิธีปลูก
           การปลูกไม่ว่าจะปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งทาบ หรือต้นที่เพาะเมล็ดก็ ตาม ให้ทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากขาดมากต้นจะชะงักการเจริญเติบโต ต้นขนุนที่ปลูกไว้ในภาชนะนาน ๆ ดินในภาชนะจะจับตัวแข็งและรากจะพันกัน ไปมา เวลาปลูกเมื่อเอาออกจากกระถางแล้วให้เอามือบิดินก้นภาชนะ ให้แยกออกจาก กันเล็กน้อยและค่อย ๆ คลี่รากที่ม้วนไปมาให้แยกจากกัน เพื่อจะได้เติบโตต่อไป อย่างรวดเร็ว
           3.1 การปลูกด้วยกิ่งทาบ อย่ากลบดินจนมิดรอยต่อของกิ่ง ให้ปลูกใน ระดับเดียวกับดินในกระถางเดิมหรือสูงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยแต่ไม่มิดรอยต่อ เพื่อจะได้มองเห็นว่ากิ่งที่แตกออกมานั้นเป็นกิ่งของต้นตอหรือของกิ่งพันธุ์ ถ้า แตกออกมาจากต้นตอให้ตัดทิ้งไปเพราะเป็นกิ่งที่ไม่ต้องการ
           3.2 การปลูกด้วยกิ่งตอน ให้กลบดินให้เสมอดินเดิมในภาชนะ หรือให้ เหลือจุกมะพร้าวที่ใช้ในการตอนโผล่อยู่ อย่ากลบดินจนมิดจุกมะพร้าวเพราะทำให้ ต้นเน่าได้ง่าย  เมื่อ ปลูกเสร็จให้หาไม้มาปักเป็นหลักผูกต้นกันลมโยกแล้วรดน้ำทันทีให้โชก ควรใช้ทางมะพร้าวช่วยคลุมแดดให้บ้างในระยะแรก เพราะถ้าโดนแดดจัดต้นอาจจะ เฉาชะงักการเจริญเติบโตได้ หลังจากปลูกแล้วให้คอยดูแลรดน้ำอยู่เสมอ ถ้าฝน ไม่ตกการใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมบริเวณโคนต้นจะช่วยรักษาความชื้นของดินได้ดี
             3.3 การปลูกพืชแซม การปลูกขนุนด้วยกิ่งตอนและกิ่งทาบจะใช้เวลา ประมาณ 3-4 ปีกว่าจะให้ผล และการปลูกด้วยเมล็ดใช้เวลาประมาณ 4-6 ปี ใน ระหว่างที่ต้นขนุนยังเล็กอยู่นี้ ควรปลูกพืชอย่างอื่นที่มีอายุสั้น ๆ เป็นการหารายได้ไป พลาง ๆ ก่อน ไม่ควรปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่า นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร แล้ว ยังต้องคอยดายหญ้าอยู่เสมออีกด้วย วิธีหนึ่งที่นิยมทำกันมากคือ ก่อนจะปลูก ขนุนควรปลูกกล้วยเสียก่อน เมื่อกล้วยโตพอสมควรจึงปลูกขนุนตามลงไป ซึ่งกล้วย จะช่วยเป็นร่มเงาให้ขนุนไม่โดนแดดมากเกินไป และทำให้สวนชุ่มชื้นอยู่เสมอ ต้นขนุนจะโตเร็ว จนเห็นว่าต้นขนุนโตพอสมควร ก็ทยอยขุดกล้วยออก การ ปลูกกล้วยก่อนนี้เป็นวิธีที่นิยมในการปลูกไม้ผลทั่วไป แต่มีข้อเสียตอนขุดรื้อ ต้นกล้วยออก เพราะต้องใช้แรงงานมากเช่นกัน

การดูแลรักษา
1. การให้น้ำ  สัปดาห์แรกหลังจากปลูก ถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำให้ทุกวัน หลังจากนั้น ถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำ 3-4 วันต่อครั้ง และตลอดฤดูแล้ง ถ้าเห็นว่าดินแห้งเกินไป ต้องรดน้ำช่วยจนกว่าต้นขนุนมีอายุ 1 ปีขึ้นไป จีงจะปลอดภัยการให้น้ำอาจ ห่างออกไปบ้างก็ได้ การปลูกโดยทั่วไปมักให้น้ำเพียง 1-2 ครั้ง แล้วปล่อยตามธรรมธาติ ก็สามารถเจริญเติบโตให้ดอกให้ผลได้เช่นกัน เพราะโดยปกติขนุนเป็นพืชที่ทนแล้ง อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามการปลูกเพือให้ได้ผลอย่างเต็มที่นั้นควรให้น้ำอยู่อย่าง สม่ำเสมอ ในฤดูแล้งหรือช่วงที่ขาดฝนนาน ๆ ควรให้น้ำช่วยบ้าง จะทำให้ต้นเจริญ เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ไม่ชะงักการเจริญเติบโต
เมื่อขนุนโตขนาดให้ผลแล้ว ในระยะที่ขนุนตกดอกให้งดน้ำชั่วระยะ หนึ่ง เมื่อดอกบานและติดผลแล้ว จึงให้น้ำให้มากเพื่อบำรุงผลให้เติบโตและมี คุณภาพดี หลังจากที่ติดผลแล้ว ถ้าขาดน้ำผลจะมีขนาดเล็ก การเติบโตของผลไม่สม่ำ เสมอ ผลอาจแป้ว เบี้ยว และเนื้อบาง การให้น้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง

2. การปราบวัชพืช การกำจัดวัชพืชต้องกระทำอยู่เสมอ เพราะวัชพืช ต่าง ๆ จะคอยแย่ง อาหารจากต้นขนุน และการปล่อยให้สวนรกรุงรังจะกลายเป็นที่อยู่อาศัยของโรคและ แมลงต่าง ๆ ที่จะทำลายขนุนอีกด้วย การปราบวัชพืชทำได้โดยการถาง หรือโดยการปลูกพืชคลุมดินเป็นวิธีที่ควรปฏิบัติอย่างหนึ่ง เพราะพืช คลุมดินนอกจากจะป้องกันไม่ให้วัชพืชขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นของ ดิน ทำให้ดินไม่แห้งเร็ว ไม่ต้องให้น้ำบ่อย ๆ ช่วยให้ดินร่วนซุย และใบที่ร่วงหล่นจะผุพังเป็นประโยชน์ต่อไป นอกจากนี้พืชคลุมดินยังช่วยป้องกันการชะล้างของดินอัน เนื่องจากฝนตก โดยเฉพาะการปลูกตามที่ลาดเอียง พืชคลุมดินที่ควรใช้ปลูกคือพวก ถั่วต่าง ๆ เช่น ถั่วพุ่ม ถั่วผี เป็นต้น ถั่วเหล่านี้จะมีเถาอาจเลื้อยพันขึ้นไปบนต้น ขนุน ต้องหมั่นดูแลและคอยตัดออกโดยเฉพาะบริเวณเรือนพุ่มต้องคอยตัดคอย ถาง อย่าให้พืชคลุมดินขึ้นบริเวณโคนต้น พืชคลุมดินนี้เมื่อปลูกไปนาน ๆ ก็ไถกลบ ดินเสียครั้งหนึ่งแล้วปลูกใหม่จะช่วยให้ดินดียิ่งขึ้น การปราบวัชพืชนี้ถ้าไม่ปลูกพืช คลุมดินก็ควรปลูกพืชแซมดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ไม่แนะนำให้ใช้ยาปราบวัชพืชบริเวณใกล้ทรงพุ่ม เพราะจะทำให้รากขนุนชะงักการเจริญเติบโต  ต้นโตช้าและโทรมเร็วกว่าปกติ

3. การให้ปุ๋ย ขนุนเป็นพืชที่ไม่เลือกดินปลูกนัก สามารถปลูกได้ในดินทั่วไป แต่ถ้าดิน นั้นอุดมสมบูรณ์มีธาตุอาหารเพียงพอ ต้นขนุนจะเจริญได้ดี ให้ผลดกและผลมี คุณภาพดี การปรับปรุงดินให้ร่วนซุยและการเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดินจึงเป็นสิ่งควร ปฏิบัติ

ต้นมะม่วง

ต้นมะม่วง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ความหมายมงคลต้นมะม่วง
          มะม่วงเป็นต้นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล คนโบราณเชื่อว่าหากนำมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านทางทิศใต้ (ทักษิณ) จะทำให้เจ้าของบ้านและผู้อยู่อาศัยมีความร่ำรวยยิ่งขึ้น

วิธีปลูก
         การปลูกมะม่วงไม่ว่าจะปลูกด้วยกิ่งตอน กิ่งทาบ หรือต้นที่เพาะเมล็ดก็ตาม ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้รากขาดมาก เพราะจะทำ ให้ต้นชะงักการเติบโตหรือตายได้ ต้นมะม่วงที่ปลูกไว้ในภาชนะนาน ๆ ดินจะจับตัวกันแข็งและรากก็พันกันไปมา เวลานำออกจากภาชนะแล้วให้บิแยกดินก้นภาชนะให้กระจายออกจากกันบ้าง ส่วนรากที่ม้วนไปมาให้พยายามคลี่ออกเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้เจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็ว
        1 การปลูกด้วยกิ่งทาบ กิ่งติดตา ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะปลูกเดิม หรือสูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ต้องไม่มิดรอยที่ติดตาหรือต่อกิ่งไว้ เพื่อจะได้เห็นว่ากิ่งที่แตกออกมานั้น แตกออกมาจากกิ่งพันธุ์หรือจากต้นตอ ถ้าเป็นกิ่งที่แตกจากต้นตอให้ตัดทิ้งไป
       2 การปลูกด้วยกิ่งตอน ให้ปลูกลึกระดับเดียวกับดินในภาชนะเดิมหรือให้เหลือจุกมะพร้าวที่ใช้ในการตอนโผล่อยู่เล็กน้อย ไม่ควร กลบดินจนมิดจุกมะพร้าว เพราะจะทำให้เน่าได้ง่าย
      เมื่อปลูกเสร็จให้ปักไม้เป็นหลักผูกต้นกันลมโยกแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ต้นที่นำมาปลูก ถ้าเห็นว่ายังตั้งตัวไม่ดี คือแสดงอาการเหี่ยวเฉาตอนแดดจัด ควรหาทางมะพร้าวมาปักบังแดดให้บ้าง ก็จะช่วยให้ต้นตั้งตัวได้เร็วขึ้น ในระยะที่ต้นยังเ ล็กอยู่นี้ให้หมั่นรดน้ำอยู่เสมอ อย่าให้ดินแห้งได้ การปลูกในฤดูฝนจึงเหมาะที่สุด เพราะจะประหยัดเรื่องการให้น้ำได้มาก และต้นจะตั้งตัวได้เร็ว โดยเฉพาะการปลูกในที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ไม่มีน้ำที่จะให้แก่ต้นมะม่วงได้ทั้งปี ให้ปลูกในระยะต้นฤดูฝน ช่วงแรก ๆ อาจต้องรดน้ำให้บ้าง เมื่อฝนเริ่มตกหนักแล้วก็ไม่ต้องให้น้ำอีก ต้นจะสามารถตั้งตัวได้เต็มที่ก ่อนจะหมดฝน และสามารถจะผ่านฤดูแล้งได้โดยไม่ตาย ส่วนที่ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์จะปลูกตอนไหนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก

การให้น้ำ หลักที่ควรยึดถือปฎิบัติดังนี้
         1. เมื่อเก็บเกี่ยวผลเสร็จแล้ว ควรจะใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตรเสมอกัน และทุกครั้งที่ใส่ปุ๋ยต้องรดน้ำถ้าฝนไม่ตกหรือดินไม่มีความชื้นพอ และควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอกับมะม่วงในช่วงต้องการเร่งการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบ โดยให้น้ำตั้งแต่เก็บเกี่ยวผลเสร็จไปจนถึงเดือนกันยายน
         2. มะม่วงก่อนออกดอก ต้องไม่ให้น้ำเพราะมะม่วงต้องการพักตัวหรือหยุดการเจริญเติบโตทางลำต้น กิ่งและใบเพื่อสะสมอาหารเตรียมแทงช่อดอก ดังนั้นช่วงอดน้ำให้กับต้นมะม่วงเป็นเวลา 1 เดือน (ต.ค.-ต้นพ.ย.) และอาจใช้วิธีรมควันโดยสุมไฟให้ควันร้อนไล่ความชื้นในดิน หรือวิธีควั่นตามกิ่งไม่ให้น้ำไปถึงยอด
         3. เมื่อมะม่วงเริ่มออกดอกและดอกเริ่มบาน เริ่มให้น้ำโดยให้ทีละน้อยพอหน้าดินเปียก โดยใช้น้ำฉีดล้างช่อดอกก็ได้จนกว่าผสมเกสรติดเป็นผลอ่อนเล็ก ๆ จึงค่อยเพิ่มการให้น้ำขึ้นทีละน้อยแต่ยังไม่ต้องมาก หลังจากนั้น 47 วัน ผลมะม่วงได้วัยขนาดขบเผาะ (นับจากวันที่ดอกบาน) ต้นมะม่วงต้องการน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจนกว่าผลมะม่วงอายุได้ 70 วัน นับแต่ดอกบานให้ลดปริมาณการให้น้ำลงทีละน้อย จนกว่าผลอายุ 90 วัน หลังจากดอกบาน (ระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 100-115 วัน)
การสังเกตว่าน้ำมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ให้สังเกตที่ขั้วดอกและขั้วผล คือถ้าขั้วแห้งแสดงว่าน้ำน้อย แต่ถ้าขั้วเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลสีเขียวออกเหลืองนวล แสดงว่าน้ำมากเกินไป

การให้ปุ๋ย
           1. ก่อนเก็บเกี่ยวมะม่วง หรือช่วงเก็บเกี่ยวผลอยู่ให้ลำเลียงปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอก ไปกองไว้รอบ ๆ พุ่มต้น (ยังไม่ต้องรดน้ำ) จนกว่าเก็บเกี่ยวหมดจึงเกลี่ยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกกลบดินเล็กน้อยพร้อมให้น้ำไปด้วยมะม่วง 5 ปีขึ้นไปใช้ต้นละ 2-3 ปี๊บ และใช้ปุ๋ยเสมอกัน เช่น 15-15-15, 17-17-17 ใส่ด้วย โดยดูความสมบูรณ์ของต้นอาจใช้ครึ่งหนึ่งของทรงพุ่ม จากนั้นใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเร่งดอก เช่น 10-20-30, 12-26-32 พ่นมะม่วงในช่วงเดือน ก.ย-ต.ค 1-2 ครั้ง ก่อนฉีดโปแตสเซี่ยมไนเตรท เร่งการออกดอก
           2. เมื่อมะม่วงเริ่มติดผลอ่อน เริ่มให้ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 15-15-15, 17-17-17 อีกครั้งหนึ่งเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผลอ่อน
           3. เมื่อผลโต ขนาด 2 ใน 3 ของผลโตเต็มที่ ให้ใช้ปุ๋ย ฉีดพ่นทางใบสูตร 10-20-30, 12-22-32 หรือสูตรตัวท้ายสูง เพื่อช่วยให้คุณภาพและรสชาติหวานขึ้น

ที่มา https://sites.google.com/a/benchama.ac.th/chotikan48617/my-friend

เฟิร์นข้าหลวง

เฟิร์นข้าหลวง



           เฟิร์นข้าหลวงหลังลาย หรือ เฟิร์นข้าหลวง เป็นต้นไม้มงคลเสริมความภูมิฐาน เกียรติยศในครอบครัว เพราะการปลูกฝังการเลี้ยงดูให้เป็นเจ้าคนนายคน และยังเป็นการเตือนใจด้วยว่าแม้ข้าหลวงก็หลังลายได้นะ (ตามลักษณะของแนวสปอร์ด้านหลังของใบที่เป็นลายแนว เหมือนการลงหวายที่หลัง) ถ้าไม่สุจริต ไม่ซื่อสัตย์ ก็จะถูกลงโทษ ได้เช่นกัน เป็นการเตือนสติให้อยู่ในร่องรอยแห่งคุณงามความดี ในการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญเติบโตอย่างสวยสดงดงาม


การดูแลเฟิร์นในบ้าน
        1 เลือกสถานที่ที่เหมาะสม. ต้นเฟิร์นเป็นไม้ที่ต้องการร่มเงาและแสงแดดร่ำไร ๆ (มากกว่าจะโดนโดยตรง) วางต้นเฟิร์นไว้ใกล้หน้าต่างที่อยู่ทางทิศเหนือเพราะหน้าต่างทางทิศตะวันออกและตะวันตกมีแสงแดดมากเกินไป หรือไม่ก็ตั้งไว้ใกล้หน้าต่างทางทิศใต้ก็ได้เช่นกัน วางต้นเฟิร์นให้ห่างจากหน้าต่างเล็กน้อย
         2 รักษาความชื้นให้สูง. เนื่องจากต้นเฟิร์นเป็นต้นไม้ที่ชอบความชื้นสูง วิธีการเพิ่มความชื้นนั้นมีอยู่สามวิธี คือ ซ้อนกระถาง ใส่เฟิร์นในถาดที่ใส่น้ำจนเต็มหรือไม่ก็ติดเครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ
การซ้อนกระถางทำได้โดยนำกระถางอีกใบที่ใหญ่กว่าใบที่ใส่ต้นเฟิร์น มาใส่มอสที่ชุ่มน้ำแล้วนำกระถางต้นเฟิร์นซ้อนลงไป เติมมอสและดินเพื่อปิดด้านบนให้ทั่ว แล้วหมั่นรดน้ำทุกสองสามวันเพื่อรักษาความชื้น
         คุณยังสามารถวางเฟิร์นในกระถางลงบนถาดที่ใส่ก้อนกรวดไว้จนเต็ม แล้วใส่น้ำจนถาดจนถึงใต้ผิวกรวด น้ำจะระเหยแล้วทำให้อากาศรอบบริเวณนั้นมีความชื้น
ถ้าคุณมีเครื่องเพิ่มความชื่น ให้ตั้งเครื่องใกล้ ๆ กับต้นเฟิร์น
คุณอาจจะใช้ขวดสเปรย์ใส่น้ำอุ่น ๆ ฉีดพ่นต้นเฟิร์น พยายามฉีดเหนือเฟิร์นแล้วให้ไอน้ำลงมาเกาะที่ใบ แทนที่จะฉีดใส่ใบโดยตรง
ตั้งชื่อภาพ Care for Ferns Step 3
          3 รักษาอุณหภูมิให้คงที่. ต้นเฟิร์นชนิดที่ปลูกในบ้านส่วนใหญ่เป็นพืชเขตร้อน แม้ว่าเฟิร์นจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพอากาศเขตร้อนก็ตาม พยายามให้อุณหภูมิห้องบริเวณที่ปลูกเฟิร์นไว้อยู่ประมาณ 21 องศาเซลเซียส ต้นเฟิร์นสามารถทนอยู่ได้ที่อุณหภูมิต่ำๆ ถึง 15 องศาเซลเซียส แต่จะไม่สามารถเติบโตได้ดีเท่าไหรนัก ดังนั้น เมื่อไหรถ้าไม่แน่ใจให้ลองเพิ่มอุณหภูมิไว้ก่อน
เฟิร์นเหมาะที่จะวางไว้ในห้องน้ำเพราะมีอุณหภูมิและความชื้นที่พอเหมาะ[1]
          4 รดน้ำบ่อย ๆ. เฟิร์นชอบอากาศชื้นและก็ชอบดินชื้น ๆ ด้วยเช่นกัน กระถางที่ปลูกเฟิร์นควรจะชื้น (แต่ไม่ถึงขั้นเปียกโชก) คุณควรจะรดน้ำบ่อย ๆ ทีละน้อย ไม่ใช่รดน้ำนาน ๆ ครั้งแต่รดน้ำมาก
ตั้งชื่อภาพ Care for Ferns Step 5
          5 ใส่ปุ๋ยให้ต้นเฟิร์นเดือนละครั้ง. หาซื้อปุ๋ยสำหรับใส่ไม้ประดับในบ้านหรือสำหรับใส่เฟิร์นโดยเฉพาะตามร้านขายสินค้าเกษตร ให้พนักงานช่วยถ้าคุณไม่รู้เรื่องปุ๋ย ใส่ปุ๋ยให้เฟิร์นทุก ๆ เดือนเพื่อให้สารอาหารแก่ต้นเฟิร์นที่ในกระถางนั้นมีไม่ครบ อย่างไรก็ตามคุณควรรออย่างน้อยหกเดือนหลังจากปลูกต้นเฟิร์นลงกระถางก่อนที่คุณจะเริ่มใส่ปุ๋ย
           6 ตัดส่วนที่ตายออก. ต้นเฟิร์นมีโอกาสที่จะเป็นโรคได้ แต่ส่วนใหญ่ต้นเฟิร์นมักจะทนและไม่ยอมตายทั้งหมดต้นในทันที ถ้าต้นเฟิร์นเริ่มตายให้ตัดส่วนที่ตายออกไม่ว่าจะตายเพราะโรคหรือการขาดการดูแลรักษา หากต้นเฟิร์นตายทั้งต้นก็ควรจะทิ้งไปก่อนที่มันจะแพร่โรคไปยังต้นไม้ต้นอื่นที่คุณเอาไว้ในบ้าน
            7 ย้ายต้นเฟิร์นไปลงในกระถางใหม่เมื่อผ่านไปมากกว่าหนึ่งปี. เพราะต้นเฟิร์นมักจะโตจนใหญ่เกินกระถางใบเดิม การย้ายต้นเฟิร์นนี้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเฟิร์น คุณอาจจะต้องเปลี่ยนกระถางตั้งแต่ 6 เดือนหลังจากเริ่มปลูกต้นเฟิร์น

หมากผู้หมากเมีย

หมากผู้หมากเมีย


             ตามความเชื่อว่า ความโชคดี และจะประสบความสำเร็จในเรื่องของความรัก และคู่ครอง ชีวิตรักจะราบรื่นคิดรักใครจะสุขสมหวัง และมีแต่คนรักและนับถือ ครอบครัวจะผาสุกไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นอกจากนี้ยังนำหมากผู้หมากเมียไปใช้ในงานมงคล ทั้งงานแต่ง งานหมั้น งานบวช ขึ้นบ้านใหม่
             หมากผู้หมากเมีย (Ti plant) จัดเป็นไม้มงคล และไม้ประดับใบชนิดหนึ่งที่มีลักษณะสีสันของใบสวยงามหลากหลายสี นิยมปลูกทั้งในสวน และในกระถาง ถือเป็นไม้ประดับที่มีการจำหน่าย และส่งออกไปยังประเทศต่างๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา สหรัฐอาหรับเอมิเรต และออสเตรเลีย เป็นต้น
การเพาะขยายพันธุ์
          พันธุ์ที่ใช้สำหรับการปลูกในปัจจุบันมีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งต่างมีเอกลักษณ์โดดเด่น และความสวยงามแตกต่างกัน ได้แก่ เพชรชมพู เพชรบัลลังก์ทอง เพชรดารา เพชรน้ำหนึ่ง เพชรสายรุ้ง เพชรไพลิน ไก่เยาว์ลักษณ์ ชมพูศรี ชมพูพาน สไบทอง เป็นต้น
      1. การปักชำ เป็นวิธีการใช้ส่วนลำต้นที่ตัดจากต้นแม่ที่มีกิ่งหรือเหง้ามาก แล้วนำมาปักชำในแปลงเพาะชำหรือในกระถางชำ
       2. การตอน เป็นวิธีการตอนในกิ่งพันธุ์จากต้นแม่ เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์โดยใช้ต้นแม่พันธุ์ที่มีกิ่งหรือเหง้าจำนวนมาก รากหลังการตอนจะงอกประมาณ 3-4 สัปดาห์
        3. การแยกเหง้า เป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวก และรวดเร็ว ด้วยการขุดแยกเหง้าที่แตกออกมาจากต้นแม่ แล้วนำมาแยกปลูกในกระถาง
         4. การเพาะเมล็ด เป็นวิธีการเพาะโดยใช้เมล็ดจากต้นแก่ มาเพาะในกระถางหรือถุงพลาสติก วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมเนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่าหมากผู้หมากเมียจะออกดอก และติดเมล็ดให้เห็น โดยจะออกดอกในต้นที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ขึ้นไป
การบังคับให้แตกยอด
          เป็นวิธีสำหรับบังคับให้หมากผู้หมากเมียแตกยอดออกมาใหม่หลายยอดในต้นเดียวเพื่อเพิ่มจำนวนกิ่งสำหรับการนำมาปักชำ และตอนขยายจำนวนต้นให้มากขึ้น
– เลือกต้นที่มีลักษณะสมบูรณ์ และตรงตามความต้องการของผู้ปลูก
– ควรเป็นต้นเดี่ยวหรือต้นที่แตกกอ ความสูงประมาณ 30-50 ซม.
– ต้นเดี่ยวตัดให้บริเวณลำต้นที่สูงกว่าเหง้าประมาณ 15-30 ซม.
– ต้นที่เคยตัดมาก่อนเป็นกิ่งรุ่น 2 ให้ตัดชิดโคนกิ่ง
– หลังการตัดงดการให้น้ำ 3-5 วัน
– โรยด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กรัม/ต้น หรือประมาณ 2 ช้อน
– รดน้ำให้ชุ่ม วันละ 1-2 ครั้ง
– กิ่งใหม่จะเริ่มแทงยอดภายในไม่กี่สัปดาห์
การปลูกหมากผู้หมากเมีย
         หมากผู้หมากเมียสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน หน้าดินลึก ดินไม่แน่น ดินมีความชื้นสูง โดยเฉพาะดินที่มีเศษใบไม้ กิ่งไม้ปกคลุม ชอบเสียงรำไร มักขึ้นอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ได้ดี
การเตรียมดิน
          หมากผู้หมากเมีย เป็นพืชที่ชอบดินร่วนซุย และมีอินทรีย์วัตถุ ดังนั้น ดินที่ปลูกทั้งในแปลงจัดสวน และในกระถางควรใช้ดินร่วน หรือ ดินร่วนปนทรายหรือดินเหนียว ผสมกับมูลสัตว์หรือเศษใบไม้หรือวัสดุอื่น เช่น กากมะพร้าวบด แกลบ เป็นต้น อัตราส่วนที่ใช้ผสมระหว่างดินกับอินทรีย์วัตถุ 1:1 หรือ 2:1
วิธีการปลูกในกระถาง
           การปลูกในกะถาง อาจเป็นกระถางดินเผาหรือกระถางพลาสติก โดยเจาะรูระบายน้ำด้านล่าง พร้อมด้วยถาดรองก้นกระถาง การปลูกจะใช้กิ่งพันธุ์จากการตอน การปักชำหรือแยกเหง้าที่ติดแล้ว 1 กิ่ง/กระถาง และควรใส่เศษใบไม้หรือวัสดุอินทรีย์คลุมหน้ากระถางไว้เสมอ สำหรับตำแหน่งวางกระถางควรวางในที่ร่ม แสงแดดส่องถึงเล็กน้อย
วิธีการปลูกในสวน
            การปลูกในแปลงจัดสวน มักใช้หมากผู้หมากเมียเป็นไม้ระดับล่าง โดยให้ไม้ชนิดอื่นที่ต้นสูงกว่าให้เป็นร่มเงา ระยะปลูกในแปลง ประมาณ 50X50 ซม.
การดูแลรักษา
             การให้น้ำ หมากผู้หมากเมียเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก แต่ต้องมีความชื้นในดินที่เพียงพออยู่เสมอ การให้น้ำควรให้เพียงวันละครั้งก็เพียงพอ ซึ่งที่สำคัญ คือ จุดวางกระถางหรือแปลงปลูกต้องไม่ถูกแดดส่องถึงพื้นตลอดทั้งวัน
การใส่ปุ๋ย จะเน้นที่ปุ๋ยคอกหรือการใส่วัสดุอินทรีย์อื่นๆเป็นหลัก และใช้ปุ๋ยเคมีบ้าง สูตร 16-16-8 อัตรา 50 กรัม/ต้น ทุกๆ 1-2 เดือน

ต้นเล็บครุฑ

ต้นเล็บครุฑ




         คนไทยเราเชื่อมาแต่โบราณว่า เล็บครุฑนั้นเป็นพรรณไม้ที่มีอำนาจในการปกป้องคุ้มครองสูง ช่วยขับไล่สิ่งอุบาทว์ชั่วร้าย และความอัปมงคลออกไปจากชีวิตของเจ้าของ พร้อมกับเสริมสิริมงคลนำความร่มเย็นเป็นสุขสืบไป   ควรปลูกเล็บครุฑในวันอังคารเพราะเป็นวันมงคลของไม้ใบ และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบริเวณบ้าน

การปลูกเล็บครุฑ
       เล็บครุฑทุกชนิดสามารถปลูกขายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด แต่ทั่วไปนิยมใช้การปักชำ และการตอนกิ่ง เพราะจะได้ต้นที่ไม่สูงมากนัก และสามารถบังคับให้แตกกิ่งเป็นทรงพุ่มใหญ่เหมือนการปลูกด้วยเมล็ดได้
การปลูกด้วยเมล็ด
– นำเมล็ดแช่น้ำที่ผสมน้ำตาลประมาณ 10% เช่น น้ำ 1 ลิตร ใช้น้ำตาล 100 กรัม โดยแช่เมล็ดนาน 6 ชั่วโมง
– นำเมล็ดลงเพาะในถุงเพาะชำ ถุงละ 1-2 เมล็ด
– จากนั้น นำถุงเพาะชำวางใว้ในที่แสงแดดรำไร รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ทุกวัน ประมาณ 7-15 วัน เมล็ดก็เริ่มงอก
– หลังจากนั้น ต้นพันธุ์แตกใบแล้ว 3-5 ใบ จึนำปลูกลงดินได้ หรือหากปลูกในกระถางอาจปล่อยให้เติบโตสักระยะ ก่อนเปลี่ยนใส่กระถางที่มีขนาดใหญ่กว่า
การเสียบยอด
– เพาะต้นพันธุ์ในกระถาง และดูแลให้มีขนาดลำต้นประมาณนิ้วก้อย
– เลือกกิ่งจากต้นพันธุ์ดี พร้อมตัดปลายกิ่งส่วนที่มีขนาดใกล้เคียงกับต้นตอ อาจเล็กกว่าเล็กน้อยก็ได้ แต่ห้ามให้ใหญ่กว่า พร้อมเด็ดใบออกให้หมด
– ปาดโคนกิ่งเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือ ตัว V ซ้าย-ขวา ให้เรียบ และสม่ำเสมอ
– ตัดต้นตอในแนวขวางลำต้น ให้เหลือโคนต้นสูงประมาณ 5 เซนติเมตร
– ผ่าต้นตอให้เป็นรูปตัว V ในขนาดที่พอเหมาะกับตัว V คล่ำของกิ่งที่ใช้เสียบ
– นำกิ่งที่ปาดเป็นรูปตัว V เสียบลงตรงรอยผ่าของต้นตอให้รอยปาด และรอยกรีดจรดเสมอกัน ก่อนพันด้วยแผ่นพลาสติกให้แน่น
– หลังจากนั้น ดูแลให้น้ำปกติ จนส่วนยอดแทงใบใหม่แล้ว จึงนำลงปลูกต่อไป




ต้นบอนสี

ต้นบอนสี


         สมัยโบราณบอนสีเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกติดไว้ในบ้านพักอาศัยและจะทำให้บ้านที่ปลูกมีความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่บ้านพักอาศัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสด็จนิวัตพระนครหลังเสด็จประภาสยุโรป ราวปี พ.ศ. 2444 ทรงนำพันธุ์ไม้หลายชนิดจากยุโรปเข้ามาปลูกในประเทศไทย ในจำนวนพันธุ์ไม้เหล่านี้มีบอนฝรั่งหรือบอนสีรวมอยู่ด้วย

การปลูกและการดูแลรักษา การปลูกบอนนั้นมีหลายแบบด้วยกัน แล้วแต่ความนิยมและวัตถุประสงค์ของผู้ปลูก ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้คือ
         1. การปลูกบอนในแปลง ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา มักจะปลูกให้หัวอยู่ลึก 3-4 นิ้ว แต่ถ้าต้นมีความอุดมสมบูรณ์สูง จะปลูกลึกกว่านี้ ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาต้องปลูกในเรือนเพาะชำก่อนประมาณ 8 อาทิตย์ คือ จนกว่าอุณหภูมิภายนอกจะอบอุ่น จึงจะนำออกปลูกโดยเริ่มปลูกในเดือนมีนาคมและทยอยปลูกเรื่อยไป
        การดูแลรักษาแปลงปลูก ในการเตรียมแปลง ต้องมีการเตรียมต้นอย่างดี ใช้ปุ๋ยสูตร 8-8-8 ในอัตรา 500-800 กก.ต่อไร่ ในระหว่างฤดูปลูก ต้องใส่ปุ๋ยสูตร 8-8-8 หรือ 3-10-12 อีก 2-3 ครั้ง ครั้งละ 500 กก.ต่อไร่ โดยปกติ การใช้ ปุ๋ยครั้งที่ 2 และ 3 จะลดประมาณไนโตรเจนลง และเพิ่มโปแตสเซี่ยมขึ้น การเพิ่มโปแตสเซี่ยม จะทำให้หัวบอนแข็งแก่เร็ว และเก็บไว้ได้นาน
         การกำจัดวัชพืชเป็นเรื่องสำคัญมาก ทั่วๆ ไปใช้วิธีถอนทิ้งมีบางรายใช้ยากำจัดวัชพืช ซึ่งจะต้องระมัดระวังมาก
         สำหรับในประเทศไทย การปลูกในแปลง ต้องเป็นแปลงที่อยู่ในเรือนเพาะชำ เพราะแดดจัดจนเกินไป จะทำอันตรายบอนได้ หรืออาจทำเฉพาะหลังคาไม้ระเเนง หรืออาจใช้ทางมะ­พร้าวช่วยบังแสงแดดให้บอนก็ได้
         เครื่องปลูกอาจประกอบด้วย ดินเผา ใบมะพร้าว ปุ๋ยคอก ในอัตรา 1:1:1 ผสมกันให้เข้ากันดี แล้วใส่ในแปลงที่จะปลูกบอนในเรือนเพาะชำ ในกรณที่ใช้อิฐบล๊อคกั้น จากการทดลองของแผนกพืชกรรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า ถ้าต้องการปลูกบอนให้ได้ในจำนวนมาก และมีอายุยืนนาน ควรปลูกด้วยเครื่องปลูกที่มีส่วนผสมของใยมะพร้าว เช่น ทรายในอัตราส่วน 1:1:1 ถ้าต้องการใน ขนาดใหญ่ ควรปลูกด้วยส่วนผสมของทรายหยาบ ใบไม้ผุ ปุ๋ยคอก ในอัตรา 1 : 1 : 1 ถ้า ต้องการใบใหญ่พอสมควรมีจำนวนใบมาก และมีหัวขนาดใหญ่ ควรปลูกด้วยส่วนผสมของดินเผา ใยมะพร้าว ปุ๋ยคอก ในอัตราส่วน 1:1:1
          การดูแลรักษา ต้องให้ความชื้นสูงเพียงพอแก่ความต้องการของบอน การให้น้ำไม่นิยมใช้แบบรดเหนือต้น เพราะจะทำให้ใบซึ่งบอบบางเป็นอันตรายเสียหายได้ นิยมการให้น้ำทางโคนต้น อาจใช้สายยาง หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่สะดวก ข้อสำคัญคือ พยายามให้นํ้าถูกใบน้อยที่สุด โดยใช้วิธีระบบให้น้ำแบบปล่อยให้ท่วมดิน หรือให้น้ำจากใต้ดินขึ้นมา

          2. การปลูกบอนเป็นไม้กระถาง การปลูกบอนเป็นไม้กระถางนี้ในประเทศไทยทำกันเป็นการค้าอย่างกว้างขวาง จากการสอบถามพบว่า การปลูกบอนกระถาง จะใช้ดินดำผิวหน้านานำมาตากให้แห้งหรืออาจย่างไฟก็ได้ ผสมกับใบมะขามที่เน่าเปื่อยผุพังแล้ว ในอัตรา 2:3 สำหรับกระถางเล็ก 3-4 นิ้ว ถ้ากระถางใหญ่ 5-6 นิ้ว ใช้ในอัตราส่วน 1 : 3 หรืออาจใช้ใบทองหลางแทนใบมะขามก็ได้ ใบมะขามทำให้สีสวย ใบทองหลางทำให้ใบแข็ง คงรูป ก้านแข็งตรง แต่การเจริญเติบโตช้ากว่าการใช้ใบมะขาม ใบก้ามปูก็ใช้ได้ แต่มักทำให้หัวเน่าง่าย อาจเป็นเพราะมีธาตุอาหารสูงเกินไปก็ได้ เวลาปลูกควรฝังให้ลงในเครื่องปลูก 1 นิ้ว
           การดูแลรักษา ต้องให้ความชื้นอย่างเพียงพอแก่ความต้องการของบอน อาจใช้การรดน้ำที่โคนต้น หรือใส่ภาชนะหล่อน้ำก็ได้ ให้มีอุณหภูมิประมาณ 20-30° ซ. ถ้าเป็นฤดูร้อนต้องระวังเรื่องแสงแดดให้มาก ถ้าปกติก็ให้แสงแดดรำไร หรือถ้าจะปลูกในกลางแจ้งก็ได้เหมือนกัน แต่จะต้องให้ถูกแสงแดดตั้งแต่เริ่มชำหัว หรือเพาะเมล็ดเลยทีเดียว เพื่อให้บอนเคยชินกับแสงแดดและมีความสามารถต้านทานได้
          การให้ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยน้ำสูตร 8-8-8 อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
          การปลูกบอนตู้ การทำบอนตู้มีวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการเลี้ยงบอนให้ได้ใบที่มีสีสันสวยสดเป็นเงามัน ดังนั้นจึงต้องมีการอบผิวบอน ซึ่งทำได้ง่าย ๆ คือ ทำกระบะซีเมนต์กว้าง ยาว ตามที่ต้องการวางบนพื้น หรือยกพื้น ตามแต่จะสะดวก แล้วนำกระถางซึ่งใส่ดินปลูกเหมือนบอนกระถางทั่วไป คือ ดินเหนียวคลุกกับใบ มะขามเผาพอแห้ง อาจผสมขี้วัวเล็กน้อยก็ได้ แล้วนำหัวบอนที่เพาะจนงอกปลีแล้ว ปลูกลงในกระถางนี้ นำกระถางนี้วางลงบนกระบะซีเมนต์ข้างต้น เรียงให้เป็นระเบียบจนเต็มกระบะเติมน้ำลงในกระบะให้สูง 1-1.5 นิ้ว จากก้นกระถาง และหมั่นเติมให้อยู่ในระดับนี้อยู่เสมอ ส่วนตู้จะใช้ตู้กระจก หรือตู้พลาสติคคลุมก็ได้ เพื่อให้แสงสว่างผ่านได้ แต่ความชื้นจะไม่สูญหาย จะสมํ่าเสมอตลอดเวลา และช่วยให้อากาศ และอุณหภูมิภายในสูงตามที่บอนต้องการแต่จะต้องเปิดให้อากาศผ่านเข้าออกได้บ้างเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อนต้องระวังให้ มาก เพราะอาจทำให้บอนมีอาการตายนึ่งได้ง่าย ข้อดีของการเลี้ยงบอนตู้ก็คือ ถ้าไม่เลี้ยงแบบนี้ ในฤดูร้อนจะเกิดอาการใบร่วง และการเลี้ยงบอนตู้ทำให้มีใบมาก นอกจากนี้ยังเป็นผลดีทางการค้า ที่ผู้ซื้อบอนไปจะไม่สามารถนำไปขยายพันธุ์ได้ทันที เพราะว่าการปลูกแบบนี้บอนจะไม่สร้างหัว หรือสร้างหัวก็มีขนาดเล็กมาก ถ้าจะขยายพันธุ์ก็จำเป็นต้องเลี้ยงต่อไปจนกระทั่งบอนสร้างหัวได้ขนาดเสียก่อน
          การย้ายปลูก เช่นการย้ายจากกระถางมาปลูกลงในแปลง หรือย้ายลงกระถางใหม่ ก่อนย้ายควรลดบอนด้วยสารละลายที่มีส่วนผสมระหว่าง น้ำตาล และ dextrose base เช่น Alad­din จะทำให้ลำต้นและใบของบอนแข็งแรง เหมาะแก่การย้ายปลูก และเมื่อปลูกแล้ว ในบอนแสดงอาการห้อยย้อยลง อาจแก้ไขได้โดยการหุ้มต้นบอนด้วยกระดาษที่ชุ่มชื้นเป็นเวลา 1 คืน วันรุ่งขึ้นต้นบอนจะสดชื้น และใบจะตั้งตรงเหมือนเดิม

ต้นธรรมรักษา หรือ เฮลิโคเนีย Heliconia

ต้นธรรมรักษา หรือ เฮลิโคเนีย Heliconia 


            คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นธรรมรักษาไว้ปรจำบ้าน จะช่วยคุ้มครองและรักษา ให้เกิดความสงบสุขแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะธรรมรักษาเป็นไม้มงคลนาม นอกจากนี้ยังได้นำดอกของธรรมรักษา มาประกอบในพิธีบูชาพระได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะ ธรรมรักษา หรือ ธรรมะ คือการรักษาในสิ่งที่ดีงาม มีคุณธรรมซึ่งควรเคารพและบูชา ดังนั้นจึงเชื่อว่า การรักษาธรรมะ หรือ ธรรมรักษา คือ การช่วยคุ้มครองรักษานั่นเอง

การดูแลรักษา 
  • เฮลิโคเนียต้องการแสงแดดร่ม รำไร จนถึงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
  • ควรให้น้ำเฮลิโคเนีย 3 – 5 วัน /ครั้ง เพราะมีความต้องการปริมาณน้ำปานกลางจนถึงมาก
  • ดินที่เหมาะในการปลูกเฮลิโคเนียคือ ดินร่วนซุย หรือดินร่วนปนทราย
  • ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักปีละ 4-6 ครั้ง ในอัตรา 1-2 กิโลกรัม/กอ 
การขยายพันธุ์  สามารถทำได้ 2 วิธีคือ
      1. การแยกกอ
      2. การเพาะเมล็ด

การแยกกอ หรือการแยกหน่อ เป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด เพราะทำได้ง่าย และได้ต้นใหม่ในระยะสั้นๆ การเจริญเติบโตจะดีกว่าการปล่อยให้มีกอรวมกันแน่นๆ
วิธีการแยกกอทำได้โดย
       -ใช้มีดที่สะอาดและคมตัดแยกเหง้าที่มีต้นเทียมติดอยู่ 1-2 ต้น
       -จุ่มรอยตัดลงในน้ำยาฆ่าเชื้อรา
       -นำส่วนที่ตัดแยกออกมาไปชำในถุงที่มีวัสดุชำอยู่
       -ใช้วัสดุชำที่ระบายน้ำได้ดี เช่น ทรายและขุยมะพร้าว ดินผสม
       -นำถุงที่ชำแล้วไปวางในที่ร่มมีแสงรำไร รากและหน่อจะเริ่มงอกในราว 4-5 สัปดาห์
       -หากต้องการนำไปปลูกในแปลงเลยก็ไม่ต้องชำก่อน ให้ตัดแยกหน่อที่มีลำต้นเทียมและเหง้าติดอยู่ด้วย 3-5 ต้นไปปลูก
       -ระบบรากของเฮลิโคเนีย จะมีผลต่อการตั้งตัวของต้นและการออกดอก จึงควรพยายามดูแลรักษาให้ดีที่สุด

โรคพืช สาเหตุมักมาจากจุลินทรีย์ และโรคที่เกิดจากแมลง เช่น
        1. โรคโคนเน่าและรากเน่า ที่เกิดจากเชื้อรา Phythium ทำให้ลำต้นช้ำ นิ่ม เมื่อบีบดูลำต้นเทียมอาจจะหักลงประมาณครึ่งต้นในบางครั้ง ป้องกันได้โดย สร้างระบบระบายน้ำให้ดีและจุ่มต้นพันธุ์ในยาป้องกันเชื้อราก่อนการปลูก ถ้าพบมีการระบาดมากควรฉีดพ่นสารเคมีกันเชื้อราเดือนละครั้ง
        2. โรครากปม มีสาเหตุมาจากไส้เดือนฝอย ไปอุดท่อน้ำและท่ออาหารของเฮลิโคเนีย ทำให้ต้นเหี่ยวและแคระแกร็น ป้องกันโดย นำสารเคมีพวกไวเดทแอล ราดลงพื้นเดือนละครั้ง
        3. แมลงศัตรูของเฮลิโคเนียมีไม่มากนัก ที่พบได้บ้าง เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย ด้วงกินใบ หนอนชนิดด่าง มด และไร ป้องกันได้โดย หมั่นตรวจดู และจับออกจากต้น หรือใช้สารเคมีฉีดพ่นเพื่อกำจัด สัปดาห์ละครั้ง หากมีการระบาดมาก

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ดอกบัว

ดอกบัว

        ดอกไม้ที่สื่อถึงคุณธรรม ความบริสุทธิ์ ความสงบ และความประเสริฐ    
ดอกไม้มงคล

          ดอกบัวเป็นพืชน้ำ ล้มลุกชนิดหนึ่งค่ะ เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว อยู่ในน้ำจืดและสะอาด นอกจากนี้บัวยังเป็นราชินีแห่งพืชน้ำ และเป็นสัญลักษณ์ของคุณงามความดี เราจะเห็นว่าดอกบัวมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวพุทธมากเลยค่ะ เพราะว่าดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าค่ะ ถ้าดูจากภาพพุทธประวัติจะเห็นว่าตอนประสูติจะมีดอกบัวรองรับพระบาททุกย่างก้าวที่พระองค์เดิน เมื่อตอนตรัสรู้ก็มีดอกบัวผุดออกมารองรับ และสุดท้ายตอนปรินิพพานก็มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับสังขารของพระองค์เช่นกัน แถมนิดนะคะ มีตำนานเล่าไว้ด้วยว่า “หมอชีวกโกมานภัจจ์”ได้ปรุงยาที่ทำจากดอกบัวถวายพระพุทธเจ้าด้วยค่ะนอกจากนี้พระพุทธองค์ยังเปรียบเทียบมนุษย์ไว้ว่ามีสี่เหล่าเช่นเดียวกับดอกบัว อย่างที่เราเรียกกันติดปากว่า “บัวสี่เหล่า” นั่นเองค่ะ เพราะเหตุนี้เองชาวพุทธเลยถือว่าดอกบัวโดยเฉพาะดอกบัวหลวงเป็นดอกไม้ที่บริสุทธิ์และเป็ดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ ชาวพุทธเลยนิยมนำดอกบัวมาไหว้พระ และใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาค่ะ    ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็ถือว่าดอกบัวเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์เช่นกันค่ะ เพราะถือกันว่าบัวเป็นพืชชนิดแรกที่เกิดมาบนโลก และเป็นดอกไม้ของผู้มีบุญ (มีตำนานเล่าไว้ว่าดอกบัวได้ผุดออกมาจากหน้าผากของพระนารายณ์ค่ะ) ดังนั้นเราจะเห็นว่าตำนานเทพในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะมีคอกบัวเข้าไปข้องเกี่ยวอยู่เสมอค่ะ สำหรับชาวจีนดอกบัวก็ถือเป็นดอกไม้มงคลเช่นกันค่ะ ชาวจีนโบราณนิยมนำภาพวาดรูปดอกบัวมาเป็นของขวัญให้กันเพื่อความเป็นสิริมงคล เห็นว่าทางแถบตะวันออกดอกบัวหลวงจะเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเป็นทางประเทศอียิปต์แล้วดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์จะเป็นดอก “บัวสาย” นั่นก็เพราะว่าดอกบัวสายจะขึ้นอยู่ที่แม่น้ำไนล์ ที่เป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์โบราณ ดังนั้นจึงมีความเชื่อว่า ดอกบัวจึงได้รับการชำระล้างจนบริสุทธิ์แล้ว  เห็นได้จาก ตามภาพสลักตามฝาผนังที่มีดอกบัวมาเกี่ยวข้องเสมอ นอกจากนี้ชาวอียิปต์จะเอาดอกบัววางไว้ที่มัมมี่เพื่อเป็นเคล็ดให้ผู้ตายกลับมาเกิดใหม่เร็วๆนั่นเองค่ะ

การปลูกบัวในภาชนะ
ดินและการเตรียมดิน

ดินปลูก
       ดินปลูกบัวที่เหมาะสมที่สุดต้องดินที่ธาตุโปแตสเซียมค่อนข้างสูง เช่น ดินเหนียว ดินท้องนา ดินท้องร่วงสวนขุดใหม่ ไม่ควรใช้ดินที่มีซากอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายไม่หมดเพราะจะทำให้น้ำเน่าเสียได้
การเตรียมดิน นำดินเหนียวที่ได้ตากแดดให้แห้งทุบย่อยให้มีขนาดเล็กลง (ดินเหนียวถ้าแห้งจริง ๆ แล้วจะแตกง่าย) เก็บเศษวัชพืช ที่ติดมากับดินออกให้หมด แบ่งดินที่ได้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งนำไปผสมเพื่อทำเป็นดินปลูกอีกส่วนหนึ่งเป็นดินเปล่า ๆ ไม่ต้องผสมอะไรทำเป็นดินปิดหน้า

วิธีการปลูก
       บัวแต่ละชนิดมีวิธีการปลูกต่างกันตามลักษณะของวัสดุปลูกและการเจริญเติบโตสำหรับการปลูกด้วยวัตถุประสงค์ให้เป็น ไม้ดอกไม้ประดับ วัสดุปลูกคือ ส่วนของพืชที่ขยายพันธุ์ (Vegetative propagation) ได้แก่ หน่อ ไหลที่แตกต้นใหม่ เหง้า บัว และต้นอ่อนที่เกิดจากหัวหรือต้นแม่บัวแต่ละชนิดมีวิธีปลูกดังนี้ ส่วนที่ขยายพันธุ์ปลูกคือไหลที่กำลังจะแตกต้นอ่อน ต้นอ่อนที่เกิดจากไหลและเนื่องจากการเจริญเติบโตของบัวหลวง สามารถสร้างไหลเจริญตามแนวนอนใต้ผิวดินไปได้ทุกทิศทางและเร็วมาก การปลูกจึงแทบไม่มีกฎเกณฑ์อะไร เพียงแต่ ฝังไหลในจุดที่ต้องการใต้ผิวดิน 8-12 เซนติเมตร กลบอัดดินให้แน่นถ้าไม่มีต้นอ่อนฝังกลบทั้งไหลบัวจะเจริญและแตก ต้นอ่อนขึ้นมาเอง ถ้ามีต้นอ่อนก็ให้ส่วนยอดของต้นที่อ่อนโผล่เหนือดินและไม่ต้องห่วงมากนักเรื่องที่จะให้พ้นน้ำอยู่ใต้ ผิวน้ำสัก 10-15 เซนติเมตรก็ได้ไหลบัวหลวงที่ผู้เรียบเรียงสั่งมาจากต่างประเทศเป็นไหลแก่หรือเหง้าไม่มีใบเลย มีแต่ ส่วนข้อและยอดที่จะแตกต้นใหม่ปลูกแช่ในน้ำลึก 30 เซนติเมตร เพียง 3-4 สัปดาห์ก็แตกใบขึ้นพ้นน้ำ

         บัวฝรั่ง วัสดุปลูกส่วนใหญ่จะเป็นเหง้าที่มีหน่องอกต้นแล้วซึ่งจะอยู่ส่วนปลายของหน่อหรือเหง้า เนื่องจากการเจริญเติบโตตาม แนวนอนริมอ่างใต้ผิวดิน 3-4 เซนติเมตร อัดแน่นในส่วนปลายหันเข้ากลางอ่างอุบลชาติจะเจริญเติบโตและเลื้อย จาก ริมอ่างด้านหนึ่งไปชนริมอ่างอีกด้านหนึ่งและจะชงักการเจริญเติบโตใบเล็กลงไม่ค่อยออกดอก หักเหง้าส่วนปลายหันกลับ ปลูกใหม่ ให้วิ่งย้อนกลับใช้หลักการเดียวกันกับปลูกโดยตรงในบ่อคอนกรีต พลาสติกหรือบ่อดิน คูคลอง ฯลฯ การปลูก แบบนี้โดยเฉพาะในบ่อกว้างที่ปลูกโดยตรงอุบลชาติจะเจริญแตกหน่อ ขยายเหง้า แผ่ออกไปเหมือนรูปพัด แต่ถ้ามีวัตถุ ประสงค์ที่จะปลูกให้เจริญเป็นกระจุกหรือวงกลมแนะนำให้ปลูกจุดละ 3 เหง้า วางเป็นรูป 3 เหลี่ย หรือ 3 ศร อุบลชาติจะเจริญและแผ่เป็นรูปวงกลมแต่ถ้ามีพันธุ์น้อย ปลูกเหง้าเดียวแล้วค่อยหักปลายเหง้าที่แตกใหม่เข้าทิศทางที่

         บัวผัน บัวเผื่อน บัวสาย และจงกลนี เจริญเติบโตทางดิ่งจึงปลูกได้โดยตรง ณ จุดที่ต้องการ ถ้าปลูกในอ่างหรือกระถางก็ปลูกตรงกลางด้วยหัวหรือต้นอ่อนฝัง ให้อยู่ใต้ผิวดิน 2-3 เซนติเมตร อัดแน่น
หลักเกณฑ์ทั่ว ๆ ไปสำหรับอุบลชาติเมื่อเริ่มปลูกคือ ปรับระดับน้ำให้สูงกว่าใบที่เจริญที่สุด 10-15 เซนติเมตร ธรรมชาติ ของอุบลชาติจะรัดและเร่งให้ใบเจริญขึ้นสูงเหนือน้ำภายใน 2-3 วัน

         บัวกระด้ง ปลูกโดยการเพาะเมล็ดในดินในกระถางแช่น้ำ เมื่อต้นโตแตกใบอ่อน 2-3 ใบ ขนาดใบที่ใหญ่ที่สุดยาวประมาณ 8-10 เซนติเมตร ย้ายปลูกในกระถางใหญ่ขึ้น ๆ จนโตเต็มที่ในกระถางขนาดปากกว้าง 12 นิ้ว ยกทั้งกระถางลงฝังในบ่อให้ดิน พื้นบ่อกลบโคน 6-10 เซนติเมตร ต่อยกระถางให้แตก รื้อออกกลบดินรอบให้แน่น หรือย้ายปลูกเช่นเดียวกับต้นไม้ทั่วไป คือเราะดินให้ยึดรากออกจากกระถางทั้งกระเปาะแล้วฝังปลูกในบ่อหลักที่อาจจะใช้เป็นข้อสังเกตว่าบัวจะรอดหรือไม่คือ ดูการขึ้นของขอบกระด้ง ตราบใดที่บัวยังไม่ได้ตั้งตัวได้เต็มที่ใบจะไม่ขึ้นขอบเป็นรูปกระด้งเมื่อไรแสดงว่าคงรอดตายแน่ ถ้าไม่ต้องการที่จะต่อยกระถางให้แตกย้ายปลูกครั้งสุดท้ายลงในกระถางปลูกกล้วยไม้ปากกว้าง 12 นิ้ว ที่มีรูปข้างกระถาง โดยรอบแล้วห่อกระถางด้วยพลาสติกเวลาปลูกลงห่อกระถางด้วยพลาสติกเวลาปลูกลงบ่อรื้อพลาสติกที่ห่อออก ปลูก ณ จุดที่ต้องการทั้งกระถางเลย
หลักเกณฑ์ในการบรรจุดินและปลูกบัวในภาชนะปลูก

หลักเกณฑ์ในการดูแลรักษา
          บัวทุกชนิด (หรือต้นไม้ทุกชนิด) ปลูกไม่ยาก สำหรับบัว การดูแลรักษาถ้าปลูกเป็นไม้ดอก-ไม้ประดับในบ้านเพียงไม่กี่ต้น เช่น ปลูกภาชนะจำกัดเป็นอ่าง ๆ หรือบ่อเล็ก ๆ ในสวนหย่อมไม่ยากเลย งานเบามาก เด็ก สตรี และคนชราก็ทำเองได้แต่ ถ้าปลูกในบ่อพลาสติกหรือบ่อดินขนาดใหญ่มีบัวเป็นสิบ ๆ ต้น งานดูแลรักษาไม่หนักแต่ใช้เวลามาก  หลักเกณฑ์และวิธีการดูแลรักษาที่สำคัญได้แก่
          1. ป้องกันน้ำเสีย
โดยเฉพาะการปลูกในภาชนะจำกัดและขนาดเล็กปริมาณน้ำน้อยบัวก็เหมือนกับปลา ต้องการอากาศหายใจในน้ำถ้าน้ำเสีย อ๊อกซิเย่นไม่มีจะพาลตายได้ง่าย เด็ดใบแก่ดอกโรยทิ้งเสียก่อนจะเน่าในภาชนะหรือบ่อที่ปลูกถ้าไม่จำเป็นไม่ควรแก้ไข โดยการถ่ายน้ำเปลี่ยนน้ำใหม่บ่อย ๆ เพราะจะต้องทำให้บัวต้องปรับตัวเองตามจะเจริญเติบโตช้าแต่ถ้าจำเป็นด้วยเหตุ เช่น มีสัตว์ตายอยู่ใต้ดินปลูก ได้แก่ กิ้งกือ ไส้เดือน หรือคางคกลงไปปล้ำกัดกันตายหรือออกไข่-ออกลูกจนน้ำเน่าเสีย หรือ อินทรีย์วัตถุที่ติดมากับดินปลูกยังเน่าเปื่อยไม่หมดทำให้น้ำเน่า ถ่ายน้ำ 2-3 ครั้ง แล้วยังไม่หายต้องเปลี่ยนดินปลูกใหม่
          2. ปราบตะไคร่น้ำ-สาหร่าย
ตะไคร่น้ำที่เกิดจากอินทรีย์วัตถุ เช่นมูลสัตว์ที่ใช้เป็นปุ๋ยคลุกที่ยังไม่สลายตัวเต็มที่ สาหร่ายอาจติดมากับดินปลูกเก็บทิ้ง ถ้าปลูกไม่กี่ต้น ถ้าปลูกมากแต่ปลูกในภาชนะจำกัดใช้ด่างทับทิมละลายน้ำในภาชนะปลูกเป็นสีบานเย็นเข้มทิ้งไว้ 2-3 วัน ถ่ายน้ำออกครึ่งหนึ่งเก็บตะไคร่สาหร่ายที่ตายออกเติมน้ำใหม่ตามเดิม
          3. เก็บคราบน้ำมัน
ไขมันจากกระดูกป่นหรืออินทรีย์วัตถุที่เน่าเปื่อยไม่หมดและการปลูกที่อัดดินไม่แน่น ดินกลบกลบดินผสมเบื้องล่าง ไม่สมบูรณ์ ไขมันจะละลายเป็นฝ้า ถ้าปลูกในอ่างหรือในภาชนะจำกัดใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปะลอยบนผิวน้ำจะช่วยซับ คราบน้ำมันออกถ้าปลูกในบ่อที่มีท่อน้ำล้น ปล่อยน้ำดันให้น้ำผิวหน้าไหลล้นออกทางท่อระบายน้ำ
          4. ต้นและรากลอย
เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ผู้ที่สนใจเลิกปลูกบัวไปหลายราย โดยเฉพาะอุบลชาติ เช่น เมื่อปลูกใหม่ ๆ ถ้ากดอัดดินทับไม่แน่น ต้นเหง้าลอย รากดูดอาหารมาเลี้ยงลำต้นไม่ได้สังเกตได้ง่ายที่สุด ไม่โตสักที ใบเล็กลงและใบเหลือง แก่เร็ว แก้โดย การปลูกใหม่ และหาไม้ไผ่อ่อนพับครึ่งคล้ายปากเคียเสียงคร่อนต้นที่ปลูกกันไม่ให้ลอย (ชาวสวนปลูกบัวเรียกตะเกียบ) สำหรับต้นแก่ที่ปลูกไว้นานแล้ว โดยเฉพาะในภาชนะที่จำกัดอุบลชาติประเภทยืนต้นเจริญทางนอนจนไปชนอีกผนังของ อ่างหรือบ่อในหลายกรณีจะหักขึ้นบนเจริญขึ้นไปจนรากลอยตัดเหง้าที่ไม่ต้องการทิ้ง ปลูกใหม่
          5. ที่ปลูกร้อนเกินไป
บัวทุกชนิดต้องการแดดเต็มที่ จะมีปัญหาถ้าที่ปลูกบัวตื้นน้ำน้อยแดดเผาน้ำจนร้อน สังเกตง่าย ๆ ขนาดน้ำอุ่นพอที่จะอาบได้ สบาย ๆ ก็ถือว่าร้อนแล้วสำหรับบัว บัวต้องการแดดเต็มที่วันละไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง ขยับที่ปลูกเสียใหม่ถ้าปลูกในภาชนะ ที่เคลื่อนย้ายได้หรือเปลี่ยนภาชนะที่ปลูกให้น้ำลึกขึ้น หรือถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้และที่ปลูกได้แดดทั้งวัน ใช้มุ้งลวดหรือ มุ้งพลาสติกกันด้านบนเพื่อลดความเข้ม-ร้อนของแสง
         6. ดินจืด
มี 2 สาเหตุ คือ ขาดปุ๋ย หรือขาดดิน (ถ้าปลูกในภาชนะจำกัด) สังเกตได้ง่าย ๆ ถ้าบัวใบเล็กลง เหลืองแก่เร็ว ถ้าปลูกใน บ่อดินที่เหลือเฟือก็คือขาดปุ๋ย ใช้ปุ๋ยสูตรกลาง ๆ ทั่วไป เช่น 10-10-10, 15-15-15 หรือ 16-16-16 หรือปุ๋ยสำหรับบัว โดยเฉพาะถ้าปลูกในภาชนะจำกัดที่สามารถอัดปุ๋ยได้ในการจุ่มมือครั้งเดียว จะใช้ปุ๋ยห่อกระดาษอ่อนที่ใช้เข้าห้องน้ำหรือ กระดาษหนังสือพิมพ์อัดฝังโคนต้นบัวเลย แต่ถ้าต้องใช้เวลาในการฝังปุ๋ยทำปุ๋ย ลูกกอนำโดยปั้นดินหุ้มปุ๋ยผึ่งแห้งเตรียมไว้ จะใช้เมื่อไรก็ฝังโคนต้นสำหรับปริมาณใช้เท่าไรขึ้นอยู่กับการสังเกตและศึกษาเองของผู้ปลูก เพราะภาชนะปลูกเล็ก-ใหญ่ ต่างกันปริมาณน้ำปลูกมากน้อยต่างกัน ปลูกในบ่อดิน บ่อคอนกรีต พันธุ์ชนิดบัว ฯลฯ จึงไม่สามารถกำหนดเป็นเกณฑ ์ตายตัวได้ถ้าปลูกในภาชนะจำกัด อีกสาเหตุคือขาดดิน บัวจะออกรากขยายเหง้า ฯลฯ ดันดินพ้นภาชนะละลายไปอยู่กั น้ำจนในที่สุดแทบจะไม่มีดินเหลืออยู่เลย ราก-เหง้าอัดภาชนะเต็มไปหมด แก้โดยรื้อเปลี่ยนดินปลูกใหม่
      7. โรค-แมลงศัตรู
ที่พบเป็นประจำ คือ โรคใบจุดและรากเน่าโรคใบจุดไม่ร้ายแรง เพราะใบบัวมีพื้นที่ปรุงอาหารมากเด็ดใบเป็นโรคทำลาย ทิ้งไป โรครากเน่ามีบ้างร้ายแรงกับบัวกระด้งและอุบลชาติ ประเภทล้มลุกบางพันธุ์ ยังไม่ทราบวิธีแก้ นอกจากนั้น คือ เก็บดินบริเวณที่เป็นโรคทำลายทิ้งเสียเลี่ยงไปปลูกบัวชนิดอื่น หรืออุบลชาติประเภทอื่นแทน แมลงที่สำคัญกินบัว ทุกชนิดคือ เพลี้ยและหนอนบัวหลวงเดือดร้อนมากที่สุด เพราะชูใบขึ้นมาให้เพลี้ยเกาะกินบัวชนิดอื่นถูกทำลายบ้างแต่ ใบลอยน้ำฝนตกน้ำกระเพื่อมก็ช่วยซัดเอาเพลี้ยหลุดลอยไปได้บ้าง (ปกติผู้ปลูกเป็นการค้าจะพ่นน้ำให้ลอยหลุดไป) ป้องกันโดยเด็ดใบที่มีเพลี้ยและหนอนท้ง-ทำลายหนอนพับหนอนพับใบเป็นศัตรูที่สำคัญของอุบลชาติ เช่นผีเสื้อ กลางคืนจะมาวางไข่บนใบเมื่อฟักเป็นตัวหนอนจะกัดกินดูดน้ำเลี้ยงใบจนโตแล้วกัดใบพับทับตัวเองเพื่อป้องกันศัตรู เช่น นก ฯลฯ ป้องกันกำจัดโดยการบี้ทำลาย บัวหลวงมีศัตรูหนอนมากที่สุดนอกเหนือจากเพลี้ยไฟซึ่งเก่ากินใต้ใบ หนอนกระทู้หนอนชอนใบ โดยเฉพาะหนอนกระทู้กินใบ โกร๋นทั้งต้นซึ่งจะเกิดในช่วงปลายฤดูฝนและในฤดูหนาวซึ่ง เป็นระยะที่บัวชงักการเจริญเติบโตด้วย กสิกรที่ปลูกบัวหลวงเป็นการค้ามักจะตัดใบทิ้ง-ทำลายหมด(ให้หมดเชื้อของหนอน) รอให้ใบแตกใหม่-ออกดอกใหม่ แมลงที่กล่าวทั้งหมดสามารถปราบและควบคุมได้พอสมควรโดยใช้ยาอะโซดริน 60 ผสมน้ำอัตราส่วนน้ำยา 1:100 (1 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร) ฉีดพ่นให้เป็นฝอยให้จับหน้าของใบบัวบาง ๆ ใบจะดูดน้ำยาเข้าไว้ เมื่อแมลงและหนอนมาดูดกินน้ำเลี้ยงของใบจะกินยาเข้าไปด้วยและตาย ฉีดพ่นทุก ๆ สัปดาห์จนกว่าจะหมดศัตรูฉีดบาง ๆ จะไม่เป็นอันตรายทั้งกับคนและปลาที่เลี้ยง
         8. หอย
ส่วนใหญ่ได้แก่หอยขมและหอยคันเป็นทั้งมิตรและศัตรู หอยโข่งเป็นศัตรูที่จงใจ แต่หอยขมเป็นศัตรูที่ตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจ บ้างคือเมื่อตอนเป็นต้นอ่อนจะอาศัยดูดน้ำเลี้ยงจากรากและใบอ่อนที่เกิดใหม่ ๆ ใต้น้ำ โดยเฉพาะอุบลชาติบัวหลวงไม่ค่อย เดือดร้อนเพราะมีสารที่เรียกว่า ดิวติน เคลือบอยู่ และก้านใบก้านดอกมีหนามเล็ก ๆ (บัวกระด้งหนามเต็มต้นไม่เดือนร้อน เลย) หอยขมและหอยโข่งเมื่อโตขึ้นจะเดินทางจากโคนก้านใบขึ้นมาใต้ใบเกาะดูดน้ำเลี้ยงจากไข่-ตัวหนอน และน้ำเลี้ยง ใบกินระหว่างเดินทางจากโคนก้านใบขึ้นมาใต้ใบ ถ้าน้ำกระเพื่อมกระเทือนจะหุบก้าน ปล่อยตัวหลุดจากก้านบัวเมื่อก้านหุบ ก็เลยเหมือนมีดตัดก้านบัวที่ยังอ่อน ๆ ขาดไปด้วยเป็นปัญหาใหญ่ของการปลูกในบ่อดินป้องกันกำจัดโดยการเก็บทิ้งและ ปลูกอุบลชาติเผื่อไว้มาก ๆ จะได้แบ่งเบาการทำลายลงไปได้บ้าง ถ้าปลูกในภาชนะจำกัดเก็บทิ้งง่ายหอยจะเป็นตัวบอกว่า น้ำเสียหรือยังถ้าน้ำเสียหอยจะลอยมาเกาะตามผนังภาชนะ ณ จุดผิวน้ำเพื่อหาอากาศหายใจแสดงว่าอ๊อกซิเย่นในน้ำไม่มี น้ำเสียแล้วควรรีบแก้ไข
         9. วัชพืช
เป็นปัญหาที่ใหญ่ของการปลูกบัวในบ่อดิน หญ้ามิใช่วัชพืชหลักเพราะเมื่อถอนทิ้งไปแล้วก็หมดไปโดยเฉพาะน้ำมากและ ลึกพอควรที่เป็นปัญหาหลักคือสาหร่ายมี 2-3 ชนิด เช่น สาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายวุ้น สาหร่ายไปและสาหร่ายฝอย สาหร่ายหางกระรอกปราบยากที่สุดเพราะเปาะเมื่อถูกถอนมันจะขาดส่วนที่ขาดจะลอยและไปขยายพันธุ์ต่อที่อื่น สาหร่าย วุ้นยากเป็นที่ 2 เพราะลื่นและหลุดขาดออกจากกันง่ายเช่นเดียวกับสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายเส้น หรือสาหร่ายฝอย เก็บปราบง่ายที่สุดเพราะไม่ค่อยขาดถอนหรือเก็บได้ทั้งกระจุกแต่จะร้ายที่สุด เพราะมักจะไปพันบัวเสียจนยอดบัวเจริญ ขึ้นมาได้ ลูกบัวและก้านบัวต้นเล็ก ๆ ที่งอกจากเมล็ดจากอุบลชาติประเภทล้มลุกทั้งพวกบานกลางวันและบานกลางคืน คือบัวผัน บัวเผื่อน และบัวสายเป็นปัญหามากที่สุดและไม่รู้จักจบสำหรับการปลูกในบ่อดินที่ปลูกอุบลชาติประเภทนี้ ต้อง เก็บกันเป็นประจำทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ เพราะนอกจากจะทำให้บ่อบัวรกไม่สวยงามแล้ว ยังแย่งแร่ธาตุอาหารจากบัวที่ปลูก อีกด้วย วิธีแก้คือต้องขยันหมั่นเก็บดอกแก่ทิ้งก่อนติดเมล็ดถ้าปลูกบ่อใหม่และคิดว่าจะเก็บไม่ทัน และปลูกหลายบ่อแนะนำ ให้แยกปลูกอุบลชาติประเภทยืนต้นไว้บ่อหนึ่ง ล้มลุกอีกบ่อหนึ่ง เก็บลูกบัววัชพืชเฉพาะบ่อปลูกประเภทล้มลุกบ่อเดียว
         10. ฟักตัวในฤดูหนาว
อุบลชาติประเภทยืนต้นหรือบัวฝรั่งหลายพันธุ์ และอุบลชาติประเภทล้มลุกบานกลางวัน หรือบัวผัน บัวเผื่อนที่นำมาจาก ต่างประเทศบางพันธุ์จะหยุดการเจริญเติบโตผลิตใบหนา ก้านใบสั้น จมอยู่ใต้น้ำในฤดูหนาวแก้โดยเพิ่มความร้อนและ แสงให้ หรือโดยการลดความลึกของระดับน้ำในบ่อที่ปลูกก่อนเข้าฤดูหนาว 1 เดือน (ประมาณกลางเดือนตุลาคม) โดย ลดระดับน้ำให้เหลือ 15-20 เซนติเมตรจากผิวดิน หรือยกอ่างปลูกให้อยู่ใกล้ผิวหน้าของน้ำตามเกณฑ์ดังกล่าว
          11. ปลูกบัวพันธุ์ไหนที่เหมาะสมกับสถานที่และภาชนะที่ปลูก
เป็นหัวใจของการดูและรักษาเพราะถ้าชนิดพันธุ์ไม่เหมาะสมแก่สถานที่ที่จะดูแลรักษาอย่างไรก็ไม่โต ในปัจจุบันพันธุ์ ที่มีจำหน่ายผู้ขายและผู้ปลูกควรรู้จักพันธุ์ว่าชนิดใดชอบน้ำตื้นน้ำลึก ที่ปลูกควรกว้างหรือแคบแค่ไหนผู้ผลิตพันธุ์ออกมา จำหน่ายจะต้องบอกได้ว่าบัวพันธุ์นั้น ๆ ต้องการที่ปลูกอย่างไร
          12. อย่าให้อดอาหารและอย่าให้กินจนเป็นโรคท้องมาร
ใส่ปุ๋ยบำรุงตามความจำเป็นถ้าใส่มากเกินไปน้ำจะเขียว ปุ๋ยสูตรสมดุล10-10-10, 12-12-12, 15-15-15 หรือ 16-16-16 ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ 2 ชั้น หรือปั้นเอาดินเหนียวหุ้มปริมาณเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับการสังเกตของผู้ปลูกเพราะผู้ปลูกแต่ละ รายปลูกในภาชนะขนาดแตกต่างกัน การให้ปุ๋ยแต่ละครั้งต้องหมั่นสังเกตถ้าน้ำเขียว ตะไคร่ สาหร่ายขึ้นเร็วแสดงว่าให้ปุ๋ย มากเกินไปควรลดปริมาณหรือความถี่ในการให้ปุ๋ยลง
           13. เลี้ยงปลาที่ไม่กินพืช
เช่น ปลาหางนกยูง ปลาสอด หรือปลากัด เพราะจะช่วยกินลูกน้ำ
           14. อย่าให้บัวขยายพันธุ์จนแน่นในภาชนะเดียวกัน
บัวฝรั่งจะแตกต่าง บัวสาย บัวหลวง จะแตกไหลไปขึ้นต้นใหม่ บัวผันหรือบัวสายเกิดเมล็ดงอกเป็นต้นใหม่แน่นภาชนะ ให้เอาออกเพราะหากแน่นมากไปต้นจะไม่ออกดอก
           15. อย่าปลูกบัวหลายพันธุ์ในภาชนะเดียวกัน
ต้นจากพันธุ์ที่แข็งแรงโตเร็วจะเบียดต้นอ่อนแอจนตายไปในที่สุด
           16. บัวฝรั่ง บัวหลวง เจริญตามแนวนอน
ถ้าพุ่งชนภาชนะเมื่อไรจะชงักการเจริญเติบโต หักเหง้าหรือไหลให้ยอดหันกลับทางกลางอ่างหรือบ่อ
           17. ไม่จำเป็นอย่าถ่ายน้ำในบ่อบัว
เพราะจะเป็นการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจากที่บัวเคยชิน บัวจะไม่งาม ถ้าจำเป็นจะต้องถ่ายควรถ่ายออกครึ่งหนึ่งเก็บไว้ ครึ่งหนึ่งจะเป็นการดี
           18. เปลี่ยนดินปลูกใหม่
ควรเปลี่ยนเมื่อรากแน่นภาชนะที่ปลูกและถ้าปลูกในภาชนะที่จำกัดหรือถ้าปลูกในบ่อและนาน ๆ หลาย ๆ ปี ก็น่าต้องเปลี่ยน หน้าดินเหมือนกัน


แนะนทิศของการปลูกไม้มงคลชนิดต่างๆ

ไม้มงคล

ปลูกต้นไม้เสริมดวงตามทิศมงคล

เสริมอีกนิดสำหรับความเชื่อโบราณในการปลูกต้นไม้เสริมดวงตามทิศมงคล มีดังต่อไปนี้
  • ทิศตะวันออก ควรปลูก ไม้ไผ่กอ และต้นมะพร้าว
  • ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ควรปลูก ต้นยอและต้นสารภี
  • ทิศใต้ควรปลูก ต้นมะม่วง และต้นมะพลับ
  • ทิศตะวันตกเฉียงใต้ควรปลูก ต้นสะเดา ต้นขนุน และต้นพิกุล
  • ทิศตะวันตกควรปลูก ต้นมะขาม ต้นมะยม
  • ทิศตะวันตกเฉียงเหนือควรปลูก ต้นมะกรูด
  • ทิศเหนือควรปลูกพุทรา และหัวว่านต่างๆ
  • ทิศตะวันออกเฉียงเหนือควรปลูก ต้นทุเรียน
สำหรับบ้านไหนที่ยังขาดหรืออยากเสริมเพิ่มเติมความเฮงความรวยหรือโชคลาภ ก็เลือกต้นไม้มงคลตามเรานำมาฝากกันไปปลูกได้ตามสะดวกนะคะ รับรองนอกจากจะได้ความร่มรื่นแล้วยังเสริมดวงให้คุณได้อีกด้วย...


ต้นไผ่

ต้นไผ่

ต้นไผ่

           ต้นไผ่ เป็นต้นไม้มงคลที่มีความเชื่อว่า "กอไผ่จะทำให้คนในครอบครัวเกิดความปรองดอง สามัคคี ไม่แตกแตก รักใคร่กัน"และไผ่ยังเป็นต้นไม้ ที่อ่อนตามลม จะทำให้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนนอกจากนั้น ไผ่ ยังสามารถนำไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกด้วย เพราะลำต้นมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นที่เหนือกว่าวัสดุสังเคราะห์หลายชนิด จึงนิยมนำมาทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้กันอย่างแพร่หลาย

       การปลูกไผ่ก็มีวิธีดำเนินการเช่นเดียวกันกับการปลูกพันธุ์ไม้ชนิดอื่นทุกประการ ไผ่จะขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทรายมีการระบายนํ้าค่อนข้างดี ดินเป็นกรด ซึ่งต้องคำนึงถึงหลักใหญ่ ๆ ดังนี้
1. พันธุ์ที่เหมาะสม ควรจะได้ทำการคัดเลือกชนิดพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้นมาปลูกโดยคำนึงถึง
        1.1 อุณหภูมิและดินฟ้าอากาศ : เป็นต้นว่าพื้นที่ ที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ปริมาณนํ้าฝนเฉลี่ยต่อปีต่ำกว่า 1,000 มม. ก็ไม่ควรจะเลือกพันธุ์ที่ต้องการความชุ่มชื้นมาก เช่น ไผ่ผาก ไผ่ป่า มาปลูก ควรจะได้ทำการปลูกไผ่รวก (หรือพันธุ์อื่น ที่ทนความแห้งแล้งได้ดีกว่า) แทน เป็นต้น
         1.2 ดิน ด้านลาด และทิศทาง : ซึ่งอาจจะต้องแยกคำนึงถึง  ดิน : ถ้าเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีการระบายนํ้าดี ก็ควรจะคัดเลือกพันธุ์ไผ่ที่มีลำขนาดใหญ่ เช่น ไผ่สีสุก ไผ่ตง หรือไผ่บง ไผ่ป่ามาปลูก ไม่ควจะนำพันธุ์ที่สามารถทนความแห้งแล้งมาปลูก เพราะจะทำให้ผลที่ได้ไม่คุ้มค่า เท่าที่ควร แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความต้องการในแง่เศรษฐกิจเป็นหลักประกอบด้วย   ด้านลาดของดิน ทิศทางของพื้นที่ :- แม้ว่าไม้ไผ่จะเจริญเติบโตได้ดีตามที่ลาดชันก็ตาม แต่ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับปริมาณของแสงแดดที่มันต้องการอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ไผ่เจริญเติบโตได้ดีทางด้านลาดทิศเหนือ เช่น ไผ่ซางนวล ไผ่หก ไผ่เฮียะ ไผ่ข้าวหลาม เป็นต้น
         1.3 ชนิดพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ จะสังเกตได้ว่าชนิดพันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่ ตั้งแต่พวกหญ้าจนกระทั่งไม้พุ่มและไม่ยืนต้น จะมีบทบาทอันสำคัญคือ จะเป็นตัวชี้ให้เราทราบว่าดินดี หรือเลวเพียงใด ทั้งนี้เพื่อจะช่วยทำให้การคัดเลือกชนิดพันธุ์ ที่เหมาะสมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น กับทั้งเป็นการประหยัดเวลาได้มากขึ้นด้วย เช่น ในพื้นที่ที่มีไม้ชั้นล่างเป็นพวกหนามเล็บเหยี่ยว ก็ไม่ควรจะนำไผ่ป่าซึ่งต้องการความชุ่มชื้นสูงไปปลูก ควรจะทำการปลูกไผ่ชนิดอื่นที่สามารถทนแล้งได้ ดีกว่าก็จะทำให้สามารถประหยัดเวลาและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาก

2. วิธีการขยายพันธุ์หรือวิธีปลูก
         สำหรับพวกที่ขึ้นเป็นกอนั้น สามารถทำการขยายพันธ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัย ได้ 3 วิธีด้วยกัน คือ
         2.1 ใช้เมล็ดในการขยายพันธ์ :- ไผ่ส่วนใหญ่ ในประเทศไทยจะมีการออกดอกราว ๆ เดือนพฤศจิกายน- เดือนกุมภาพันธ์ และเมล็ดเริ่มแก่และร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ในแดือนกุมภาพันธ์-เดือนเมษายนของทุกๆปี ในการเก็บหาเมล็ดไผ่นั้น เราไม่สามารถจะทำการคัดเลือกแม่ไม้หรือหมายแม่ไม้เพื่อทำการเก็บเมล็ดได้เช่นเดียวกับพันธุ์ไม้ชนิดอื่น ๆ เพราะส่วนใหญ่กอไผ่ที่ขึ้นอยู่ในดินอุดมสมบูรณ์ ย่อมจะออกดอกและให้เมล็ดล่าช้ากว่ากอที่ขึ้นอยู่ในที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักของทางด้านพันธุศาสตร์และสรีระวิทยา เพราะฉะนั้นเราจึงไม่อาจจะเลือกเก็บเมล็ดได้ เช่นเดียวกับพันธุ์ไม้ชนิดอื่นดังกล่าวแล้ว ในระยะที่เมล็ดไผ่กอใดเริ่มแก่ ก็ดำเนินการกวาดเก็บเศษไม้ ใบไม้รอบบริเวณ ใต้โคนกอออกให้หมด เพื่อสะดวกในการกวาดเก็บเมล็ดไผ่ หลังจากร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ปกติแล้วไม่นิยมเก็บเมล็ดไผ่ ที่แก่ติดกับกิ่ง เพราะส่วนใหญ่เมล็ดในตอนนี้ยังไม่แก่เต็มที่ เมื่อนำไปเพาะแล้วอาจจะทำให้เปอร์เซ็นต์การงอกน้อยมาก หรือแทบจะไม่งอกเลยก็ได้ จึงทำให้เสียเวลาและเปลืองค่าใช้จ่ายมาก หลังจากเมล็ดร่วงหล่นลงสู่พื้นดินแล้ว ก็ทำการกวาดเก็บเมล็ดทั้งหมดใส่ภาชนะเช่น กระสอบป่าน กระสอบผ้า หรือภาชนะอื่นใดก็ได้ ใช้กระด้งสำหรับฝัดข้าวฝัดร่อนเอาเปลือกออกเมล็ดลีบออกเสียให้หมด คงเหลือแต่เฉพาะเมล็ดดีเท่านั้น จึงนำไปเก็บไว้ในภาชนะ เช่น ขวดโหล หรือภาชนะสำหรับเก็บเมล็ดโดยเฉพาะ ถ้ามีตู้เก็บก็ควรเก็บรักษาเมล็ดไผ่ดังกล่าวไว้ในตู้เย็นโดยปรับอุณหภูมิให้คงที่สมํ่าเสมอ ปกติใช้อุณหภูมิประมาณ 12 องศาเซลเซียสเป็นอย่างตํ่า ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เมล็ดเสียและฝ่อเร็ว อาจจะเก็บเมล็ดไว้ ถึง 1 ปีก็ได้ ถ้าหากมีตู้เย็นสำหรับเก็บเมล็ดใช้
         วิธีเพาะเมล็ดและการย้ายชำ :— ในการเพาะเมล็ด ไผ่นั้นอาจกระทำได้ 2 วิธี คือ เพาะเมล็ดในกระบะและเพาะเมล็ดไผ่ในแปลงเพาะก่อนอื่นต้องเตรียมดินสำหรับเพาะเมล็ดให้เรียบร้อยเสียก่อน ถ้าให้ได้ผลแน่นอนแล้วควรจะทำการคั่วดินที่จะใช้เพาะเสียก่อนเพื่อทำลายเชื้อโรคและราต่าง ๆ ที่มีอยู่ในดินให้หมดเสียก่อน ดินที่ใช้ในการเพาะควรจะเป็นดินร่วนปนทรายหรือผิวดิน ซึ่งมีอยู่ตามป่าไผ่ธรรมชาติทั่ว ๆ ไป ผลจากการทดลองเพาะเมล็ดไผ่รวกและไผ่ป่า โดยใช้ต้นดังกล่าวปรากฏว่า ไผ่รวกมีเปอร์เซ็นต์การงอกถึง 80% ส่วนไผ่ป่าประมาณ 60% แต่ก็ให้เปอร์เซ็นต์การงอกสูงกว่าการเพาะในดินชนิดอื่น
       วิธีเพาะ หลังจากเตรียมดินในกระบะเพาะหรือแปลงเพาะเรียบร้อยแล้ว ก็นำเมล็ดไผ่ลงหว่านในกระบะหรือแปลงเพาะ โดยอาจจะหว่านตามแนวยาวของกระบะหรือแปลงเพาะ หรือจะหว่านทั่วๆไปทั้งกระบะ หรือแปลงเพาะ ก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความสะดวกในการถอนกล้าเพื่อย้ายชำต่อไปเป็นหลักด้วย ภายหลังจากหว่านเมล็ดไผ่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำการรดนํ้าโดยใช้ฝักบัวฝอยรดนํ้าให้ทั่วทั้งกระบะหรือแปลงเพาะ ใช้ทรายละเอียดโรยทับเมล็ดอีกชั้นหนึ่ง เพื่อกันมิให้เมล็ดไหลหรือกระเด็นออกจากกระบะ หรือแปลงเพาะในขณะที่รดนํ้าได้ จะต้องทำการรดนํ้าทุกเช้าเย็น ยกเว้นวันที่มีฝนตกเมล็ดจะเริ่มงอกประมาณ 7-10 วัน ภายหลังจากหว่านเมล็ดแล้ว ในระยะนี้ต้องคอยดูแล ฉีดยาป้องกันพวกเชื้อราแมลงต่าง ๆ ที่จะมาทำอันตรายแก่กล้าไผ่ได้ และต้องคอยถอนวัชพืชออกในคราวเดียวกันด้วย
          การย้ายชำ :- หลังจากที่กล้าไผ่เริ่มงอกจากเมล็ด ประมาณ 3-4 สัปดาห์ ก็เริ่มทำการย้ายชำกล้าไผ่ดังกล่าวลงถุงพลาสติก ขนาด 4 X 8 นิ้ว หรือ 5X9 นี้วก็ได้ เพราะถุงพลาสติกนอกจากขนาดดังกล่าวแล้วมักจะเล็กหรือใหญ่เกินไป การบรรจุดินใส่ถุงพลาสติกก็ควรจะได้เริ่มดำเนินการไปพร้อม ๆ กันกับการเพาะเมล็ด ส่วนดินที่ใช้ในการชำก็ควรจะเป็นดินชนิดเดียวกันคือดินผิวบน หรือดินร่วนปนทราย ไม่ควรจะใช้ดินเหนียวหรือทรายล้วน เพราะดินเหนียวจะทำให้การระบายนํ้าไม่ดี ดินมักเกาะจับกันแข็งแน่น ส่วนทรายล้วนนั้นมักจะไม่สะดวกในการขนย้ายตอนนำไปปลูก เพราะทรายมักจะร่วงหล่นออกจากถุงพลาสติกได้ง่าย ทำให้กล้าไผ่เหี่ยวเฉาทันที จึงควรจะให้มีเปอร์เซ็นต์ของดินเหนียวปนอยู่บ้างเล็กน้อย ในระยะนี้ก็จะต้องรดนํ้ากล้าไผ่เช่นเดียวกัน อาจจะรดนํ้าทุก ๆ 2 วันหรือทุก ๆ 3 วันก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสมและสภาพของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ส่วนระยะเวลาในการชำนั้นอาจจะเป็น 6-12 เดือนดีที่สุด เพราะระยะเวลานอกจากนั้นจะได้กล้าที่เล็กเกินไป หรือสูงเกินไป ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามากกว่ากล้าซึ่งย้ายชำอยู่ในระยะเวลา 6-12 เดือน เพราะกล้าในระยะนี้ จะแกร่งเต็มที่และพร้อมที่จะเจริญเติบโตทุกขณะ แต่ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับสถานที่และความชื้นเป็นหลักอีกด้วย ถ้าพื้นที่นั้นมีความชื้นดีก็อาจจะทำการย้ายปลูกหลังจากชำกล้าเพียง 3-6 เดือนก็ได้
          2.2 การขยายพันธุ์โดยวิธีใช้ปล้องกิ่งตัด : การขยายพันธุ์โดยวิธีนี้มักจะได้ผลเฉพาะพันธุ์ไผ่ที่มีลำหนา เช่นไผ่ป่า ไผ่สีสุก เป็นต้น โดยทำการคัดเลือกลำไผ่ที่มีอายุประมาณ 1 ปี อาจจะนำไปชำทั้งลำหรือทอนออกเป็นท่อนๆ ให้แต่ละท่อนหรือปล้องมีข้อติดอยู่ 2 ข้อ เจาะรูตรงกึ่งกลาง ปล้องเพื่อหล่อนํ้า ส่วนกิ่งที่ข้อก็ตัดริดออกให้เหลือเพียง 2-3 นิ้วก็พอ แต่ระวังอย่าให้ตาที่ข้อของปล้องแตกหักได้ แล้วนำปล้องที่ทอนแล้วไปชำในแปลงชำเสียก่อนโดยวางเรียงตามแนวขนานกับพื้นดิน ใช้ดินกลบที่ข้อทั้งสองของปล้อง เหลือไว้เฉพาะที่หล่อนํ้าเท่านั้น ทำการรดนํ้าทุกเช้าเย็น เว้นวันฝนตก หรืออาจจะรดนํ้าทุก ๆ 2 หรือ 3 วัน ก็ได้ แล้วแต่สภาพสิ่งแวดล้อมเป็นเกณฑ์ด้วย หลังจากนั้นประมาณ 10-15 วัน ตาที่ข้อของปล้องก็จะแทงหน่อโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน ในระยะนี้ต้องคอยดูแลรักษาเป็นพิเศษ เพราะพวกเพลี้ยและเชื้อรามักจะทำอันตรายแก่หน่ออยู่ตลอดเวลา จึงต้องคอยกำจัดด้วยยาฆ่าแมลงและเชื้อรา ผลจากการทดลองชำไผ่ป่าเพื่อหาอัตราการแตกหน่อ อัตราการเจริญเติบโต และเปอร์เซ็นต์การรอดตายที่สถานีทดลอง ต.หินลับ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี ปรากฏว่า จำนวนหน่อของพวกปลายลำมีมากกว่าหน่อของพวกโคนลำ และจำนวนหน่อของส่วนปลาย ปล้องก็มีน้อยกว่าหน่อของส่วนโคนปล้อง แต่สำหรับในพวกโคนลำแล้วกลับปรากฏว่าหน่อของพวกปลายปล้องจะมี มากกว่าหน่อของส่วนโคนปล้อง การเจริญของหน่อส่วนปลายลำดีกว่าโคนลำ และหน่อของพวกปลายปล้องเจริญเติบโตดีกว่าหน่อโคนปล้องทั้งส่วนโคนลำและปลายลำ แต่เปอร์เซ็นต์การรอดตายไม่แตกต่างกัน ระยะเวลาในการชำนั้นย่อมขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ที่จะปลูก เช่นในพื้นที่ชุ่มชื้นก็อาจจะชำเพียง 6 เดือนก็ได้ แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วมักจะชำไว้ ประมาณ 12 เดือน ก่อนทำการย้ายปลูก เพราะในระยะนี้ รากและหน่อจะแกร่งเต็มที่
         2.3 ใช้ส่วนของตอกับเหง้าในการขยายพันธุ์ ในการขยายพันธุ์โดยวิธีนี้นั้นเหมาะกับพันธุ์ไผ่แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นชนิดลำหนาหรือลำบาง เช่น ไผ่รวก ซางนวล ไผ่ป่า สีสุก และไผ่ชนิดอื่นๆ ก็สามารถจะทำการขยายพันธุ์ โดยวิธีนี้ได้ ก่อนอื่นต้องทำการคัดเลือกลำไผ่ที่มีอายุประมาณ 1-2 ปี เสียก่อน ตัดลำส่วนบนออกเพื่อนำไปทอนออกเป็นปล้อง ๆ ใช้ในการชำปล้องเหลือส่วนตอไว้เพียง 30-50 ซม. ทำการขุดเหง้าพร้อมกับตอนั้นแยกออกจากกอแม่เดิม ระวังอย่าให้ตาที่เหง้าแตกเสียหายได้ แล้วนำเหง้าพร้อมด้วยตอ ดังกล่าวไปชำไว้ในแปลงชำเสียก่อน หรืออาจจะนำไปปลุก ในแปลงปลูกเลยก็ได้ ระยะเวลาในการชำไม่ควรเกิน 12 เดือนเช่นกัน เพราะถ้าชำไว้นานกว่านี้ ก็จะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการย้ายปลูก อาจจะทำให้ลำเก่าหรือหน่อใหม่เหี่ยวเฉาตายได้ง่าย สำหรับไผ่บางชนิดที่มีโคนกิ่งหรือแขนงใหญ่ เช่น ไผ่ตง ไผ่ไร่ หรือไผ่บง ก็อาจจะใช้ส่วนของกิ่ง (แขนง) ในการขยายพันธุ์ได้ และวิธีนี้ใช่ได้ผลดีมาก สำหรับไผ่ตงที่ปฎิบัติกันอยู่ขณะนี้ในจังหวัดปราจีนบุรี

3. ฤดูปลูก  โดยทั่ว ๆ ไปแล้วในการปลูกสร้างสวนไม้ผลหรือสวนป่าก็ตาม กสิกรส่วนใหญ่มักจะอาศัยธรรมชาติโดยเฉพาะปริมาณนํ้าฝนเป็นหลักมากกว่าอาศัยระบบการชลประทาน เพราะฉะนั้นฤดูปลูกที่เหมาะสมที่สุด ก็คือฤดูฝน ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงปลายเดือนกันยายนของทุกปี เพราะในช่วงฤดูดังกล่าวสามารถช่วยให้ทุ่นค่าใช้จ่ายในการรดนํ้าได้มาก และเป็นช่วงระยะที่ไผ่กำลังแตกหน่อดีที่สุดอีกด้วย

4. จำนวน กล้า ปล้อง หรือเหง้ากับตอ ที่จะใช้ปลูกต่อหน่วยพื้นที่ ประการแรกจะต้องดำเนินการเตรียมกล้า ปล้อง หรือ เหง้ากับตอให้เพียงพอกับพื้นที่ที่จะปลูกเสียก่อนตามปกติแล้ว ถ้าเป็นพื้นที่ที่ดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ดีแล้ว สำหรับชนิดไผ่พันธุ์ที่มีลำหนากอขนาดใหญ่ก็ไม่ควรจะปลูกให้ถี่จนเกินไปนัก ระยะห่างระหว่างกอสำหรับชนิดพันธุ์ไผ่ที่มีขนาดลำใหญ่ เช่น ไผ่ป่า ไผ่สีสุก ไผ่บง ฯลฯ ที่เหมาะที่สุดคือระยะ 6X6 เมตร ส่วนไผ่ที่มีลำเล็กและขนาดของกอเล็กก็ควรจะปลูกระยะตั้งแต่ 2X2 เมตร, 3X3 เมตร หรือ 4X4 เมตร โดยคำนึงถึงขนาดความกว้างของกอสำหรับชนิดพันธุ์ไผ่นั้น ๆ เป็นหลักด้วย เพราะฉะนั้นสำหรับพันธุ์ไผ่ที่มีขนาดกอใหญ่ ถ้าจะปลูกระยะ 6X6 เมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ ไม่ควรปลูกเกิน 36-40 กอ ส่วนไผ่ขนาดเล็ก เช่น ไผ่รวก ถ้าปลูกระยะ 3X3 เมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ ก็ปลูกได้ประมาณ 170-180 กอ เป็นต้น

5. วิธีปลูก  ถ้าใช้ปล้องหรือเหง้ากับตอในการขยายพันธุ์ ก็พึงระมัดระวังอย่าให้ตาที่เหง้าและที่ข้อของปล้องได้รับอันตรายมากนัก เพราะอาจจะทำให้ตาซึ่งจะแตกหน่อต่อไปเสียหรือบอดได้เช่นเดียวกันกับในระยะขนย้ายกล้าปล้องหรือเหง้า กับตอก่อนปลูก ในการปลูกโดยใช้วิธีใช้เหง้ากับตอนนี้ ควรจะขุดหลุมให้มีขนาดกว้าง 30 X 30 X 50 ชม. สำหรับปล้องนั้นย่อมขึ้นอยู่กับขนาดใหญ่เล็กและยาวของแต่ละปล้องเป็นหลัก แต่อย่างน้อยก็ควรจะขุดหลุมให้มีขนาด 20 X 30 X 50 ซม. เป็นอย่างน้อย ส่วนในการปลูกกล้าก็อาจจะอนุโลมให้ใช้ขนาดของการปลูกโดยวิธีใช้เหง้ากับตอได้ ภายหลังจากการเตรียมขุดหลุมเรียบร้อยแล้วเมื่อฤดูฝนย่างเข้ามา และฝนเริ่มชุกก็ให้ทำการย้ายปลูกกล้า เหง้ากับตอ และปล้องทันที โดยใช้ดินร่วนกลบโคนกล้าเหง้ากับตอ หรือปล้อง อย่าให้ดินที่กลบแน่นจนเกินไปนัก เพราะจะทำให้การแตกหน่อ ไม่สะดวกนัก

6. การดูแลบำรุงรักษา ภายหลังจากที่หน่อเริ่มแตกจากตาของเหง้าข้อของปล้องแล้ว ควรหมั่นหาทางป้องกันพวกเชื้อราและแมลงที่จะเข้ามากัดกินและอาศัยอยู่ตามกาบของหน่ออ่อนได้ โดยอาจจะใช้ยาจำพวกปราบศัตรูพืชก็ได้ ในระยะช่วงฤดูฝนก็ อาจจะต้องทำการดายวัชพืช จะเป็นเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ก็ย่อมแล้วแต่ความมากน้อยของวัชพืชในท้องที่นั้น ๆ ภายหลังจากที่ไม่ไผ่เริ่มตั้งกอหลังจากเริ่มปลูกประมาณ 2-3 ปี ก็ อาจจะเพลาการบำรุงรักษาลงได้บ้าง ในระยะนี้จะเห็นว่าหน่อที่แตกจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก และจะมีขนาดโตขึ้นทุก ๆ ปี ถ้าความชุ่มชื้นและดินอุดมสมบูรณ์ดีพอเพียง แต่ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็วก็ควรจะใช้ปุ๋ยเร่ง เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ได้ ถ้าเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักแล้ว อย่างน้อยในพื้นที่ป่าไผ่ 1 ไร่ ควรจะใช้ปุ๋ยดังกล่าวประมาณ 100-150 กก. สำหรับอัตราส่วนของปุ๋ยวิทยาศาสตร์ขณะนี้ยังไม่มีสถิติที่แน่นอน ถ้าเป็นพื้นที่มีลมจัด ก็อาจจะปลูกพันธุ์ไม้ชนิดอื่นจำพวกไม้โตเร็วเพื่อกำบังลม และขณะเดียวกันก็ควรจะปลูกพันธุ์ไม้โตเร็ว เช่น พวกสะเดา สะแก มะกอก หรือพันธุ์ไม้ชนิดอื่นควบด้วย ทั้งนี้ นอกจากจะให้ร่มแก่กล้าไม้หรือหน่อไผ่ในระยะแรกแล้วเรายังสามารถ ใช้ประโยชน์จากไม้โตเร็วเหล่านั้นได้อีกด้วย

ต้นใบเงิน

ต้นใบเงิน คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นใบเงินไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเงินมีทองเพราะเป็นไม้มงคลนามนอกจากนี้คนไทยโบราณได้นำ ใบเงินใบทองม...