วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ต้นกระดังงา


ต้นกระดังงา


ต้นกระดังงา นิยมปลูกกันด้วยชื่อที่เป็นมงคล คนโบราณเชื่อกันว่าการปลูกต้นกระดังงา "ทำให้คนในบ้านมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่นับหน้าถือตา มีเงินทองลาภยศ"ควรปลูกต้นกระดังงา ทางทิศตะวันออกของตัวบ้าน เพื่อเพิ่มความเป็นสิริมงคล แก่ตัวบ้านและครอบครัวที่อาศัย มีลักษณะเด่นเป็นไม้ยืนต้น ออกดอกเป็นกระจุกมีสีเหลือง หรือเหลืองอมเขียว มีกลิ่นหอมทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น จะออกดอกตลอดทั้งปี

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

บานไม่รู้โรย

บานไม่รู้โรย

ต้นบานไม่รู้โรย

บานไม่รู้โรย ถือเป็นไม้ดอกที่ชื่อเป็นมงคลนามอยู่แล้วว่าบานไม่รู้โรยจะช่วยเสริม "ด้านความรักของผู้อยู่อาศัยและคู่รักให้ผูกพันมั่นคงต่อกัน"โดยปกติเราจะเห็นดอกบานไม่รู้โรยอยู่ในพานพุ่มไหว้ครูเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการนำดอกไม้ชนิดนี้มาประดับตกแต่งมีความหมายว่า “ศิษย์จะให้ความเคารพและเชื่อฟังคำอบรมสั่งสอนไม่มีเสื่อมคลาย เปรียบเสมือนดอก บานไม่รู้โรย
การปลูกการเพาะเมล็ด 
เป็นวิธีง่ายและสะดวกที่สุด เมล็ดบานไม่รู้โรย มีเปลือกหุ้มหนา ดังนั้นก่อนเพาะควรแช่น้ำประมาณ 3-4 ชั่วโมง เพื่อให้ เปลือกหุ้มเมล็ดดูดน้ำจนชุ่มเสียก่อน แล้วจึงนำไปเพาะในกระบะเพาะ ที่มีเถ้าแกลบผสมทรายอัตราส่วน 4 : 1 รดน้ำพอชุ่มทุกวันเมล็ด จะงอกภายใน 7-10 วัน พอกล้าเริ่มมีใบจริง 1-2 คู่ ก็ย้ายไปปลูกในแปลง ระยะปลูก ใช้ระยะ 30 x 30 เซนติเมตร หรือ 40 x 40 เซนติเมตร โดยปลูกหลุมละ 1 ต้น 
การดูแลรักษา 
    การให้ปุ๋ย 
ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 10 กรัม/ต้น เดือนละครั้ง โดยครั้งแรกใส่หลังจากย้ายมาปลูกในแปลงประมาณ 1 สัปดาห์ 
     การให้น้ำ 
บานไม่รู้โรยทนแล้งได้ดี สามารถให้น้ำสัปดาห์ละครั้งหรือถ้าปลูกในดินทรายควรให้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเวลาที่เหมาะสม ในการให้น้ำคือ เวลาในช่วงเช้าเพื่อลดการระบาดของเชื้อรา 
การเด็ดยอด เพื่อให้บานไม่รู้โรยแตกกิ่งก้านจำนวนมาก จึงมีการเด็ดยอดเมื่อต้นมีความสูงประมาณ 8-10 นิ้ว ยอดที่เด็ดออกควรยาว ประมาณ 0.5-1 นิ้ว การแตกกิ่งก้านมากจะเป็นการเพิ่มปริมาณดอกมากขึ้นด้วย

https://horoscope.sanook.com/60457/

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กวนอิม

กวนอิม

ต้นกวนอิม

         เป็นไม้ยืนต้นที่มีชื่อใกล้เคียงกับเทพเจ้าของชาวจีน และชาวไทยให้ความเคารพบูชากันทั่วไป เชื่อกันว่าต้นกวนอิมเงินกวนอิมทองนั้น เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพราะคนโบราณมักจะใช้ต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้ มาประกอบในพิธีบูชาเทพเจ้าเชื่อกันว่า "เมื่อปลูกกวนอิมในบ้านจะเกิดเป็นสิริมงคล นำผลให้มีฐานะดี เกิดความร่ำรวย"ซึ่งโดยปกติแล้วตามบ้านที่มีการตั้งศาลเจ้าตี่จู้เอี๊ยะ หรือเทพเจ้าจีน มักจะนิยมนำเอาต้นกวนอิมมาประดับไว้ในแจกันพร้อมๆ กับการไว้เทพเจ้า มีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้สำหรับการบูชาที่มีความเป็นสิริมงคล

โกสน

โกสน

ต้นโกศล

         ชื่อนั้นพ้องกับคำว่า กุศล จึงเชื่อว่า คือการสร้างบุญ คุณงามความดีช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข โกสน เป็นไม้ยืนต้นที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากสีสันสวยสดของใบ และคุณสมบัติที่ช่วย"เสริมความเป็นสิริมงคลให้กับบ้านอีกด้วย"เป็นอีกหนึ่งพันธุ์ไม้ที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามบ้านต่างๆ ลักษณะของใบจะใหญ่ และมีสีสันเขียวอ มแดงอมเหลืองสลับกัน ดูสวยงามแปลกตา

การปลูก

         โกสนเป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ชอบดินโปร่งร่วนซุย อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่มีน้ำขังแฉะ มีอินทรียวัตถุปานกลาง ดินที่เหมาะ ในการใช้ปลูกเลี้ยงโกสน คือดินท้องร่อง สวนที่มีส่วนผสมของใบทองหลาง ใบก้ามปู หรือกาบมะพร้าว สับละเอียด ถ้าใช้ดินปลูกเป็นดินเหนียว ที่แน่นทึบจะทำให้รากเน่า และใบร่วงง่าย ปุ๋ยคอก ควรใช้ในปริมาณ ที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป เพราะอาจทำให้ โกสนสูงชะลูด เสียรูปทรงได้ ปุ๋ยเคมีควรใช้ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียมสูง จะช่วยให้สีของใบสดใสและเข้มขึ้น ถ้าใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง จะทำให้โกสน มีใบเขียวจัด ลายของสีอื่นๆ จะลดลง แสงแดดก็มีส่วนช่วยให้สีของใบโกสนสวยเป็นเงางาม แต่ไม่ควรให้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน การรดน้ำ ควรรดในปริมาณ ที่พอเหมาะไม่แฉะเกินไป ควรทำการตัดแต่งกิ่งก้านและใบให้ได้รูปทรงที่สวยงาม รวมทั้งตัดใบและกิ่งที่แก่หรือแห้งออกบ้าง

การขยายพันธุ์

          การปักชำกิ่ง : เป็นวิธีการที่ง่ายและประหยัด คือ ใช้มีดที่คมและสะอาดเลือกตัดกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไปมาเป็นกิ่งชำ ชุบโคนกิ่งชำลงในฮอร์โมนเร่งราก เอ็กโซติกฮอร์โมน ประมาณ 3-5 นาที ทิ้งไว้ให้หมาด จากนั้นนำกิ่งชำลงชำในกระถางซึ่งมีขี้เถ้าแกลบผสมกับขุยมะพร้าวในอัตราส่วนเท่าๆ กันเป็นวัสดุปักชำ วางไว้ในที่ร่มที่มีความชื้นสูงรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ประมาณ 4-5 สัปดาห์ รากและใบอ่อนก็จะเริ่มงอก จึงย้ายลงปลูกในกระถางใหม่ต่อไป 
การตอนกิ่ง : เลือกกิ่งที่ต้องการตอน โดยเลือกจากกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ใช้มีดที่คมและสะอาดควั่นหรือบากเอาเปลือกออกรอบลำต้นยาวประมาณ 1-2 ซม. ไช้ฮอร์โมนเร่งราก เอ็กโซติกฮอร์โมน ทารอบรอยควั่นให้ทั่ว ทิ้งไว้พอหมาด จากนั้นใช้ถุงพลาสติกใส่ขุยมะพร้าวให้เต็ม รดน้ำให้ชุ่มแล้วรัดปากถุง หรือที่เรียกว่าตุ้มขุยมะพร้าว นำมาผ่าด้านข้างด้านใดด้านหนึ่งแล้วสวมรอยผ่าเข้ากับรอยควั่นของกิ่งตอนให้ขุยมะพร้าวและถุงพลาสติกหุ้มรอบกิ่งตอน ใช้เชือกมัดหัวท้ายตุ้มขุยมะพร้าวให้แน่น ประมาณ 4-6 สัปดาห์ รากก็จะขึ้นเต็มตุ้มขุยมะพร้าวจึงตัดไปปลูกลงกระถางต่อไป 
การเสียบยอด : คือการนำยอดของโกสนพันธุ์ดีไปเสียบกับตอของโกสนพันธุ์ที่มีระบบรากและลำต้นแข็งแรงกว่า เป็นวิธีการขยายพันธุ์ ที่ค่อนข้างยุ่งยาก ต้องอาศัยความชำนาญ และการฝึกหัดเป็นอย่างดี 
การติดตา : คือการนำตาของโกสนพันธุ์ดีไปเสียบกับตอของโกสนพันธุ์ที่มีระบบรากและลำต้นแข็งแรงกว่า เป็นวิธีที่ยุ่งยากเช่นเดียวกับการเสียบยอด 
การเพาะเมล็ด : เป็นการขยายพันธุ์อีกแบบหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่มีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดโกสนพันธุ์ใหม่
 

โรคและแมลง

         ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค เพราะเป็นไม้ที่มีความทนทานต่อโรคได้ดี แมลง เพลี้ยแป้ง มีกลุ่มเพลี้ยแป้งสีขาวจำนวนมาก เกาะอยู่บริเวณโคนใบ ทำให้ใบเหลืองและเหี่ยวแห้ง การป้องกัน กำจัดแมลงพาหะพวกมดต่าง ๆ โดยใช้ยาเช่นเดียวกับการกำจัด หรือรักษาความสะอาดบริเวณ แปลงปลูกการกำจัด ใช้ยาไดอาซินอน อัตราและคำแนะนำระบุไว้ตามฉลาก


กุหลาบ

กุหลาบ
ดอกกุหลาบ


         ดอกไม้สัญลักษณ์แห่งความรักฟังแค่นี้ก็รู้สึกดี ชุ่มชื่นหัวใจกันไปยิ่งใกล้วาเลนไทน์กันแล้ว บอกเลยต้องปลูกเพราะรอ 14 กุมภาพันธ์ ราคาคงอัพแพงกันไปส่วนความหมายของดอกนั้นแบ่งออกได้ตามสีเช่น สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นต้น

วิธีปลูกกุหลาบ
วิธีเตรียมดินปลูกกุหลาบ......

การปลูก..... กระถาง 10 นิ้วขึ้นไป ถ้าปลูกลงดิน จะงอกงามดีกว่ากระถาง ควรเว้นระยะห่าง 60-80 ซม.
ส่วนผสมของดินปลูก.....- ดิน 1 ส่วน
- อินทรีย์วัตถุ (ปุ๋ยหมัก ใบไม้ผุ หรือ แกลบ) 2 ส่วน
- ปุ๋ยคอก 1 ส่วน
- ขุยมะพร้าว (ใช้หรือไม่ก็ได้) 1/2 ส่วน

ที่ตั้งแปลง หรือ ที่วางกระถาง..... เป็นที่มีแดดอย่างน้อย 1/2 วัน ปกติกุหลาบต้องการแดดเต็มวัน แต่เนื่องจากกุหลาบไม่ชอบอากาศร้อน ดังนั้นในช่วงฤดูร้อนควรให้กุหลาบถูกแดดนานแค่ 1/2 วันก็พอ อาจจะย้ายที่วางใหม่ หรือ พรางแสงด้วยซาแลน

การให้น้ำ..... ปกติ 1 ครั้งต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ลิตรต่อกระถาง 10 นิ้ว แต่ฤดูร้อน อากาศแห้งมาก อาจต้องเพิ่มเป็น 2 ครั้งต่อวัน

การให้ปุ๋ย.....
- ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 หรอ 16-16-16 หรือ 14-9-20 หรือ 15-5-20 หรือ 21-9-24
- ปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) ขี้ไก่ (แบบอัดเม็ด จะดีกว่าจากฟาร์ม เพราะเวลารดน้ำจะกลิ่นเหม็นมาก) ขี้วัว (ต้องใช้ปริมาณมากกว่าขี้วัว แต่ข้อเสีย เรื่องวัชพืชที่ตามมา)
- ปุ๋ยคอก มีแร่ธาตุอาหารน้อยกว่าปุ๋ยเคมี จึงควรใช้ปุ๋ยคอกและเคมีสลับกัน โดยใช้ปุ๋ยคอกประมาณ 3-4 เดือนครั้ง เพื่อแก้ปัญหาดินแข็ง เหนียวจากปุ๋ยเคมี และทุกๆ 6 เดือน 
- ปูนโดโลไมท์ (มีแคลเซียมและแมกนีเซียม) ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อกระถาง 10-12 นิ้ว เพื่อแก้ความเป็นกรดจากปุ๋ยเคมี
- เมื่อใส่ปุ๋ยแล้วควรรดนำทันที เพื่อไม่ให้เข้มข้นตรงจุดใดจุดหนึ่งมากไป ทำให้รากเสียหาย ปุ๋ยเคมีควรใส่น้อยๆ แต่บ่อยๆ ไม่ควรใส่มากเกินไปเพราะจะทำให้ขอบใบไหม้ และตายได้

การตัดแต่ง.....
- ต้นใหม่ ตัดแต่งกิ่งลีบ เล็ก ที่เป็นกิ่งรุ่นแรกๆ ออกที่โคนกิ่ง เหลือไว้แต่กระโดงใหญ่ๆ
- ต้นที่โตแล้ว ตัดกิ่งผอม กิ่งเป็นโรค บิดงอ กิ่งที่ง่ามแคบ หรือกิ่งที่พุ่งเข้าในพุ่ม กิ่งแก่ที่ไม่แตกยอดดอกอีกแล้วทิ้ง
- ดอกโรย ควรรีบตัดออกเพื่อไม่ให้เสียอาหารต่อไป ถ้าเป็นกุหลาบก้านยาวควรตัดเอาความยาวออกครึ่งนึ่งของความยาวก้าน หรือต่ำลงมาจนถึง 5 ใบชุด ไว้ซัก 2-3 ชุด
- การตัดแต่งประจำปี ควรทำปีละ 2 ครั้ง ในเดือนตุลาคม (ก่อนหนาว) และเดือนเมษายน (ก่อนฝน) เป็นการตัดแต่งเพื่อให้ตั้งพุ่มใหม่ เพื่อลดความสูง โดยตัดกิ่งกระโดงให้สั่นลงเหลือประมาณ 30-40 ซม. ถ้าต้นแข็งแรง แต่ถ้ามีกิ่งกระโดงมาก ก็ให้ตัดกิ่งแก่ออกเสียบ้าง

การเปลี่ยนกระถาง..... ทำปีละ 1 ครั้ง อาจทำพร้อมการตัดแต่งช่วงเดือนเมษายน โดยควักดินรอบๆขอบกระถางออกส่วนหนึ่ง หรือ ถอดออกทั้งต้นแล้วเปลี่ยนดินใหม่

โรค และ แมลง.....
- เพลี้ยไฟ เป็นแมลงตัวเล็กแหลมเหมือนเข็ม ซ่อนอยู่ใต้กลีบดอก ทำให้ยอดอ่อนหงิกงอ ดอกด่าง
- ไรแดง เป็นแมลงมุมตัวเล็ก สีเหลืองส้ม อยู่ใต้ใบ ดุดกินน้ำเลี้ยงจนใบซีด ขุ่นมัว
- ใบจุดสีดำ ที่มีขอบพร่า ทำให้ใบเหลืองหลุดร่วง จะเริ่มมีอาการจากใบแก่ที่โคนต้นขึ้นมา
- ราน้ำค้าง เป็นปื้นๆ จุดสีน้ำตาลม่วงเป็นที่ยอดอ่อน ทำให้ใบร่วงตั้งแต่ยังเขียว 
- ราแป้ง เหมือนผงสีขาวเหมือนแป้งจับ ใบหงิกพองเหมือนข้าวเกรียบว่าว
ราสีเทา (บอไทรทิส) กลีบนอกจะเหี่ยว และ เป็นรา ดอกไม่ยอมบาน
- แคงเกอร์ ทำให้กิ่งเนแผลวงกลมสีน้ำตาลของเหลือง ส่วนมากเป็นที่โคนกิ่ง กิ่งแก่ ในที่สุดจะลามเหลืองทั้งกิ่ง แห้งดำ และลุกลามจนต้นตาย
การควบคุมโรค และ แมลง..... ควรพ่นยาอย่างน้อย 10 วันครั้ง
- หนอน และ แมลงปีกแข็ง ใช้ เมโธมิล หรือ ไซเปอร์เมทริน ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องควรจับทิ้งด้วยมือ
- เพลี้ยไฟ ใช้ อิมิดาคลอร์ปิด ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องตัดดอก ทำลายทิ้ง
- ไรแดง ใช้ อะบาแมกติน หรือ ทอร์ค ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องฉีดลางด้วยน้ำใต้ใบ
- โรคใบจุดดำ (ฤดูฝน) ใช้แมนโคแซบ หรือ ดาโคนิล หรือ ไตรโฟไรน์ ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องคลุมด้วยหลังคาพลาสติก
- ราน้ำค้าง (ฤดูหนาว) ใช้เมทาแล็กซิล + แมนโดคเซ็บ ถ้าไม่ใช้สารเคมี ไม่มีข้อแนะนำ
- ราแป้ง (กลางวันร้อน กลางคืนเย็น) ใช้ไตรโฟไรน์ หรือ แอนวิลล์ ถ้าไม่ใช้สารเคมีก็ต้องพ่นด้วยน้ำ
- ราสีเทา ใช้ไตรไฟไรน์ หรือ รอฟรัล ถ้าไม่ใช้สารเคมี ไม่มีข้อแนะนำ
- แคงเกอร์ ไม่มียารักษา ใช้วิธีตัดทิ้งห่างๆจากกิ่งที่เป็นมากๆ
     การฟื้นฟูกุหลาบที่ทรุดโทรม..... โดยเฉพาะต้นที่เป็นโรคใบจุดดำ ใบจะร่วงหมด ทำให้ต้นขาดอาหาร แต่ถ้ายังปล่อยให้ออกดอก จะทำให้ต้นอ่อนแอหนัก วิธีง่ายๆ ให้ตัดดอกทิ้งให้หมด เด็ดยอดอ่อนที่มีใบ 3 ใบชุดทิ้ง รวมถึงมีดอกติดมาทิ้ง หมั่นสังกตว่า ถ้ายอดใหม่ที่ออกมาหลังการเด็ดยังไม่แข็งแรง ก็ต้องเด็ดซ้ำจนว่าจะได้ยอดที่แข็งแรง และควรงดปุ๋ยจนกว่ากุหลาบจะริ่มแตกใบ


http://www.infinitydesign.in.th/5-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87/57918

มะลิ

  มะลิ  

ดอกมะลิ
        ดอกมะลิถือเป็นต้นไม้มงคลมาตั้งแต่โบราณ นิยมใช้ดอกมะลิเป็นเครื่องสักการบูชาพระ และด้วยกลิ่นหอมเย็นของดอก บวกกับสีขาวบริสุทธิ์ จึงเชื่อกันว่า บ้านใดปลูกต้นมะลิไว้ทางทิศตะวันตกเฉลียงเหนือของบ้าน จะช่วยให้คนในบ้านได้รับแต่ความปรารถนาดี เป็นที่รัก ที่คิดถึงของคนทั่วไป และทำให้คนในบ้านมีรู้จักกตัญญูกตเวที และยังเป็นดอกไม้ประจำวันแม่แห่งชาติอีกด้วย
การปลูก
      ควรจะปลูกให้มะลิได้รับแสงแดดเต็มที่ เพื่อดอกจะได้ดกตามต้องการ   นิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฏาคม      มะลิชอบดินร่วนซุยมีการระบายน้ำดี มีอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารสมบูรณ์      หากจะปลูกมะลิให้มีอายุยืนยาว ควรขุดหลุมลึก กว้าง และยาวด้านละ 50 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยคอก ใบไม้ผุหรือปุ๋ยหมัก และวัสดุอื่น ๆ ในอัตราส่วน 1:1:1 พร้อมกับเติมปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต (0-46-0) และปุ๋ยผสมสูตร 15-15-15 อย่างละ 1 กำมือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วใส่กลับลงไปในหลุมใหม่ ทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน จึงนำเอาต้นมะลิที่ซื้อมา หรือได้จากการปักชำลงปลูก
การดูแลรักษา
      1. การกำจัดวัชพืช ปกติชาวสวนนิยมใช้กรัมม๊อกโซนฉีดตามร่องปลูกทุกเดือน โดยไม่ให้โดนต้นมะลิ
     2. การใส่ปุ๋ย ให้ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตราการใส่ปุ๋ยขึ้นอยู่กับขนาดของทรงพุ่ม ใส่เดือนละครั้ง โดยการหว่านและรดน้ำตามด้วย
     3. การตัดแต่ง หลังจากปลูกมะลิไปนาน ๆ แล้วมะลิจะแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ควรตัดแต่ทรงพุ่มให้โปร่ง รวมทั้งตัดกิ่งที่แห้งและตายออกด้วย จะช่วยให้มะลิมีทรงพุ่มสวยงาม โรคและแมลงลดน้อยลง มะลิมีอายุยืนยาวขึ้น ให้ดอกมากขึ้น พร้อมทั้ง จะช่วยให้เกษตรกรมีความสะดวกในการปฏิบัติงานอีกด้วย
       4. การให้น้ำ มะลิจะต้องการน้ำพอสมควร หากดินยังแฉะอยู่ไม่ควรรดน้ำ ควรรอจนกว่าดินจะแห้งหมาด ๆ เสียก่อน ทั้งนี้อาจให้น้ำวันละ 1-2 ครั้งหรืออาทิตย์ละครั้งก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพของดิน โดยให้รดน้ำในตอนเช้า แต่ระวังอย่าให้น้ำท่วม หรือมีน้ำขังอยู่ในแปลงนาน ๆ เพราะจะทำให้ต้นมะลิแคระแกร็น ใบเหลือง และตายได้


http://www.infinitydesign.in.th/5-%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87/57918

เฟื่องฟ้า

เฟื่องฟ้า
เฟื่องฟ้า

        ถ้าจะถามว่าในวงการไม้ประดับนั้น ไม้ประดับชนิดไหนที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดอยู่ในขณะนี้ คำตอบก็เห็นทีจะหนีไม่พ้น “เฟื่องฟ้า” ที่ครองแชมป์ยอดฮิตติดอันดับ  โดยที่ยังไม่มีไม้ประดับชนิดใดสามารถชิงแชมป์ไปได้เลยตลอดระยะเวลา 4-5 ปีมานี้  ทั้งนี้เพราะว่าเฟื่องฟ้าเป็นไม้ประดับที่มีคุณสมบัติพิเศษที่น่าสนใจอยู่หลายอย่างเช่น
สีสัน มีมากมายหลายหลากสี และสีก็ล้วนแล้วแต่ค่อนข้างจะสวยสดงดงามบาดตาบาดใจเป็นส่วนใหญ่ ทรงพุ่มของลำต้นและกิ่งก้านก็อ่อนช้อย มีใบสีเขียวสด ไปช่วยแต้มแต่งให้สีดอกสวยเด่นยิ่งขึ้น ลักษณะสีสันตลอดจนรูปแบบของใบก็มีให้เลือกมากมายตามใจชอบ  สามารถตัดแต่ง ดัดโน้มรูปทรงได้ตามความพอใจ การกลายพันธุ์ เฟื่องฟ้าสามารถกลายพันธุ์ทำให้เกิดพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งการกลายพันธุ์จากตาหรือบัดมิวเทชั่น (bud mutation) ซึ่งมีผลให้ตาที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้นมีลักษณะผิดแปลกแตกต่างไปจากต้นเดิม  ทำให้เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา  และกลายพันธุ์จากการเพาะเมล็ด  จึงเป็นที่น่าสนใจของบรรดาผู้เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ไม้ประดับทั่ว ๆ ไป ทั้งที่เป็นมืออาชีพและมือสมัครเล่นด้วยความสวยงามในรูปแบบที่หลากหลายนั้น ได้แพร่ขยายแผ่กระจายไปตามสถานที่ต่าง ๆ นี้เองทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความรู้สึกติดตาตรึงใจ  ซึ่งมีผลให้เกิดแรงบันดาลใจให้เกิดกิเลสและตัณหาอยากจะปลูกเฟื่องฟ้าประดับประดาบ้านเรือนของตนเองให้เหมือนกับสวนสวรรค์ไม่น้อยหน้าใคร เฟื่องฟ้าปลูกเลี้ยงได้ตั้งแต่คนจนไปจนถึงเศรษฐีหรืออภิมหาเศรษฐี  เฟื่องฟ้าเป็นไม้ประดับที่มีราคาต่ำสุดตั้งแต่กระถางละ 20 บาทขึ้นไปจนถึงโคตรแพงราคาต้นละเป็นหมื่นบาทขึ้นไปเรียกว่าใครมีเงินน้อยก็ลงทุนน้อย ใครมีเงินหนาก็ลงทุนเยอะหน่อย  พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นไม้ที่คนจนก็มีสิทธิที่จะปลูกได้ ส่วนใครจะซื้อแบบกระถางเล็กหรือซื้อประเภทต้นตอเฟื่องฟ้าขนาดใหญ่ฟอร์มดี ๆ ก็ขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจในกระเป๋าของแต่ละคนว่า กระเป๋าใบโต ๆ หรือใบเล็กกระจิ๊ดริด และก็อย่างเพิ่งไปดูถูกดูแคลนพวกกระเป๋าใบจิ๋ว ๆ ก็แล้วกัน เพราะเผลอ ๆ เขาอาจจะดวงดีได้เป็นเจ้าของเงินแสนเงินล้านเพราะขายเฟื่องฟ้าให้คุณก็ได้  เรื่องอย่างนี้แล้วแต่ดวงใครดวงมัน ลงมีดวงเศรษฐีซะอย่างยังไง ๆ ก็ต้องเป็นเศรษฐีเข้าจนได้ เฟื่องฟ้าขยายพันธุ์ได้ง่าย  เฟื่องฟ้าสามารถที่จะขยายพันธุ์ได้หลายรูปแบบ เช่น การปักชำ การตอน การเสียบยอด การติดตา  และขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด  ซึ่งเกษตรกรและบุคคลที่สนใจทั่วไปก็สามารถที่จะปฏิบัติได้โดยไม่สู้จะยากเย็นมากนัก เฟื่องฟ้าปลูกง่ายเลี้ยงดูรักษาง่ายโรคแมลงศัตรูน้อย เฟื่องฟ้าเป็นไม้ประดับไม่ต้องเลี้ยงดูเอาใจใส่มากนัก  เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ประดับและไม้ดอกชนิดอื่น ๆ คือ เลี้ยงง่าย ตายยาก ขยายพันธุ์ง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม คือ ทนน้ำ ทนแล้ง สามารถปลูกขึ้นได้ในดินทั่วประเทศ เช่น ดินทราย ดินเหนียว ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินลูกรัง ไม่มีโรค และแมลงศัตรูพืชรบกวน สามารถนำไปปลูกเลี้ยงในกระถางได้เป็นอย่างดี จากปัจจัยและเหตุผลดังกล่าวแล้วข้างต้นนั้น  ทำให้เฟื่องฟ้าเป็นไม้ประดับที่ยืนหยัดครองความนิยมเหนือไม้ดอกไม้ประดับชนิดอื่น ๆ จนตราบเท่าทุกวันนี้ และยังมีความหมายที่ดีอีกด้วย สำหรับต้นนี้บอกเลยว่าดีดี๊สำหรับชาว ราศีพิจิกและราศีกุมภ์ เพราะเป็นดอกไม้ประจำราศีด้วย ส่วนความหมายจะแสดงถึงความสว่างไสวในชีวิต สดใสเบิกบาน ช่วยให้รุ่งเรืองมั่นคง เหมือนกับดอกเฟื่องฟ้าที่บานตลอดวันนั้นเอง
การปลูกเฟื่องฟ้า
โดยปกติแล้วเฟื่องฟ้าเป็นต้นไม้ที่ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดีและค่อนข้างจะทนแล้ง  ปัจจุบันนี้เกษตรกรนิยมปลูกเฟื่องฟ้าลงกระถางมากกว่าวิธีอื่น ๆ เมื่อเฟื่องฟ้าที่ปักชำจนงอกรากดีแล้ว  เกษตรกรก็จะนำมาลงกระถาง  ขนาดปานกลาง 8 นิ้ว โดยใช้ส่วนผสมของดินดังต่อไปนี้
กาบมะพร้าวสับ                          4          ส่วน
ดิน                                            2          ส่วน
แกลบ                                        1          ส่วน
ปุ๋ยคอก                                      1          ส่วน
หญ้าคาสับ                                 2          ส่วน
การผสมดินสำหรับปลูกนั้นนิยมนำกาบมะพร้าวทั้ง 4 ส่วนมากองเกลี่ยลงบนลานดินหรือลานซิเมนต์ก่อนแล้วเทหญ้าคาที่สับแล้วทับลงไปเป็นชั้นที่ 2  จากนั้นก็เทแกลบ ปุ๋ยคอก และดินทับลงไปตามลำดับชั้น  วิธีนี้จะช่วยให้ประหยัดเวลาในการคลุกเคล้าผสมดินปลูกเฟื่องฟ้าได้มากขึ้น
สำหรับสูตรผสมดินปลูกเฟื่องฟ้านั้น เกษตรกรบางราย  จะใช้กาบมะพร้าวสับ 4 ส่วน ดิน 1 ส่วน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละบุคคล  เมื่อย้ายเฟื่องฟ้าลงปลูกในกระถาง 8 นิ้วเรียบร้อยแล้วก็นำต้นเฟื่องฟ้าไปพักไว้ในที่ร่ม รำไร หรือบังไพร ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เฟื่องฟ้าคายน้ำมากเกินไป เพราะจะเหี่ยวเฉาตายได้ง่ายถ้าถูกแดดราดมากเกินไป  หลังจากพักฟื้นเฟื่องฟ้าไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ก็นำเฟื่องฟ้าออกมาวางกลางแดดต่อไป
การรดน้ำและใส่ปุ๋ย
เฟื่องฟ้า  เป็นไม้ประดับที่ไม่ชอบสภาพดินที่ชื้นแฉะเกินไป  ฉะนั้นการรดน้ำพึงควรระมัดระวังอย่าให้แฉะเกินไปและควรวางกระถางเฟื่องฟ้าให้สามารถระบายน้ำได้สะดวก  ส่วนมากเกษตรกรจะรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้งเท่านั้น  สำหรับการให้ปุ๋ยนั้นจะใช้สูตรเสมอ 16-16-16 โรยรอบโคนต้นประมาณ 1 ช้อนแกงทุก ๆ 15 วัน และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามขนาดของต้นเฟื่องฟ้า  ซึ่งจะสังเกตุได้จากความสมบูรณ์ของต้น ใบ และดอกเฟื่องฟ้า
การปลูกเฟื่องฟ้าโดยใช้ตอแขน
กิ่งของเฟื่องฟ้าที่เกษตรกรตัดมาจากต้นตอใหญ่ก็นำมาปักชำในขี้เถ้าแกลบ รดน้ำให้ชุ่มวันละ 1 ครั้งทิ้งไว้ในที่ร่มประมาณ 2 เดือน ก็จะแตกรากออกมา เกษตรกรจะใช้ฮอร์โมนเร่งรากหรือไม่ใช้ก็ได้ หลังจากนั้นย้ายลงกระถาง  โดยใช้ดินผสมเช่นเดียวกับการปลูกเฟื่องฟ้ากิ่งเล็กและนำมาเสียบยอด จัดแต่งทรงพุ่มกันต่อไป
การปลูกเฟื่องฟ้าโดยใช้ “ต้นตอ”
ต้นตอเฟื่องฟ้าที่มีขนาดใหญ่นั้น ปัจจุบันนับวันก็จะหายากยิ่งขึ้นทุกที ซึ่งมีผลให้ราคาค่อนข้างจะสูง  ส่วนมากแล้วจะเป็นต้นตอที่ขุดมาจากต่างจังหวัด ขนใส่รถบรรทุก 10 ล้อ มาขายให้กับบรรดาร้านขายไม้ดอกไม้ไม้ประดับอีกทอดหนึ่ง การปลูกเฟื่องฟ้าโดยใช้ตอใหญ่นั้นเกษตรกรนิยมตัดรากของต้นตอออกให้เหลือเพียงแต่โคนรากแล้วปลูกในกระถาง  โอ่งมังกรขนาดใหญ่  อัดด้วยขุยมะพร้าวให้แน่นรดน้ำให้ชุ่ม  แล้วนำไปวางไว้กลางแดด ถ้าหากเป็นต้นตอที่มีขนาดใหญ่ ใช้กระสอบป่านหุ้มพันกิ่ง  แล้วรดน้ำให้ชุ่มเพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งและต้นแห้งตาย  รดน้ำตอนเช้าให้ชุ่มแต่อย่าให้ถึงกับแฉะและควรจะรดน้ำที่กระสอบป่านให้กระสอบชุ่มอยู่เสมอ หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน หรือ 2 เดือนกว่า ๆ เฟื่องฟ้าก็จะแตกกิ่งแล้วเราก็เลือกกิ่งที่จะเสียบยอดเพื่อจัดแต่งทรงพุ่มต่อไป
เมื่อขุยมะพร้าวยุบตัวก็ใช้ดินผสมชุดใหม่เติมลงไปให้เต็มกระถางอยู่เสมอและใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 ใส่ต้นละ 1-2 กำมือทุก ๆ 15 วัน
การขยายพันธุ์เฟื่องฟ้าเพื่อการค้าในปัจจุบันนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1.  การขยายพันธุ์เพื่อเป็นเฟื่องฟ้ากระถาง ตั้งแต่กระถางขนาด 8 นิ้วขึ้นไป จนถึงกระถางมังกร แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเฟื่องฟ้ากิ่งเล็ก  ซึ่งอาศัยการปักชำเป็นส่วนใหญ่
2.  การขยายพันธุ์เฟื่องฟ้าประเภทติดตากับกิ่งที่แตกออกจากตอที่ปักชำในกระถางใหญ่และในขณะเดียวกันก็ทำมาค้าขายเฟื่องฟ้ากระถางดังข้อ 1 ไปด้วย
การขยายพันธุ์เฟื่องฟ้าตามข้อ 1 นั้นลงทุนน้อยกว่าการขยายพันธุ์เฟื่องฟ้าในลักษณะติดตาจากกิ่งที่แตกจากตอเฟื่องฟ้า ซึ่งจำเป็นที่จะต้องลงทุนในการซื้อตอค่อนข้างจะสูง  ฉะนั้นผู้ที่จะค้าขายเฟื่องฟ้าในลักษณะเช่นนี้จะต้องมีเงินทุนสูงกว่าลักษณะข้อ 1
ปัจจุบันนี้ตอเฟื่องฟ้าที่ขุดมาจากตามชนบทในเมืองไทยนั้นมีจำนวนลดลงไปมากจนถึงกับต้องมีการสั่งเข้ามาจากประเทศเขมร ทำให้ราคาของต้นตอเพิ่มขึ้น  ส่วนใหญ่แล้วจะมีพ่อค้าไปรับเหมาซื้อบรรทุกรถสิบล้อมาขายต่ออีกทอดหนึ่ง บางต้นหรือบางตอราคาสูงถึง 3,000 -4,000 บาท ก็เคยมี  แต่ถ้าหากติดตาและจัดรูปแบบให้สวยงามแล้ว อาจจะขายได้ในราคา 10,000 บาทขึ้นไปก็ได้  กำไรน่าดูชมเลย
ตอที่เป็นต้นนั้นเรียกว่า “ต้นตอ” ส่วนกิ่งเฟื่องฟ้าก็สามารถนำมาทำตอได้เรียกกันว่า “ตอแขน” เกษตรกรจะซื้อแล้วนำมาปักชำจนแตกกิ่งแล้วก็ติดตาขายได้ ราคากระถางละ 200-1,000 บาทขึ้นไป

โป๊ยเซียน

โป๊ยเซียน

โป๊ยเซียน
       
  
           ต้นนี้บอกเลยว่าทุกบ้านแทบจะไม่พลาด เพราะหาซื้อง่ายแถมยังชอบแดดเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราอีกด้วย ที่สำคัญตามความเชื่อยังบอกว่าโป๊ยเซียนสามารถนำโชคมาให้แก่ผู้ปลูกได้โดยการนำไปวางที่หน้าบ้านทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

          แต่อย่างไรก็ดีการดูแลรักษาต้นไม้ก็ต้องถูกวิธีด้วยนะคะเพื่อให้เค้าอยู่กับเราไปนานๆโดยเฉพาะการรดน้ำ ควรรดวันละครั้งในตอนเช้าและควรรักษาระดับความชื้นของดินให้พอเหมาะไม่แฉะหรือแห้งเกินไป เช่น ถ้าเป็นช่วงฤดูแล้งดินปลูกแห้งควรรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ส่วนฤดูฝนถ้าวันใดฝนตกก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำแต่ควรตรวจดูผิวดินในกระถางไม่ให้ชื่นจนเกินไปค่ะ

การปลูกเลี้ยงและดูแลรักษา

แม้ว่าต้นโป๊ยเซียนจะสามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคของไทยก็ตาม แต่การปลูกโป๊ยเซียนให้สวยงามนั้น นอกจากสภาพแวดล้อมแล้ว การดูแลรักษาก็นับว่ามีส่วนสำคัญ

ดินปลูก

ควรเป็นดินชั้นบนมีอินทรียวัตถุพวกเศษพืช โดยเฉพาะใบก้ามปูและใบทองหลางที่เน่าเปื่อยผุพังคลุกเคล้าอยู่ในดินจนเป็นเนื้อเดียวกัน ดินประเภทนี้จะอุ้มน้ำและระบายอากาศได้ดี ทำให้รากของโป๊ยเซียนแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว การใช้ดินปลูกที่แน่นทึบและมีน้ำขังอาจทำให้รากและต้นโป๊ยเซียนเน่าได้ เมื่อปลูกโป๊ยเซียนได้ระยะหนึ่งควรทำการพรวนดินรอบๆ กระถางปลูก ห่างจากโคนต้นประมาณ 2 นิ้ว พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดินประมาณ 1-2 ช้อนแกง และควรเปลี่ยนดินปลูกทุกปี

แสงแดด

โป๊ยเซียนเป็นไม้ที่ชอบแดด การปลูกถ้าให้โป๊ยเซียนได้รับแสงแดดประมาณ 60-70% จะดีมาก โดยเฉพาะแดดตอนเช้าถึงตอนสายก่อนเที่ยง ถ้าได้รับแสงแดด 100% ทั้งวันต้นจะแข็งแรง สีของดอกจะเข้มแต่เล็กลงกว่าเดิม นอกจากนี้ใบยังอาจจะไหม้เกรียมได้ ถ้าให้โป๊ยเซียนได้รับแดดน้อยหรืออยู่ในร่ม ดอกจะโต สีดอกไม่เข้ม ต้นไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงควรจัดให้โป๊ยเซียนได้รับแสงแดดประมาณ 60-70% โดยใช้ตาข่ายพรางแสงช่วยก็จะดีมาก อย่างไรก็ตามในฤดูร้อนอากาศแห้งแล้งแดดจัดและร้อนมากเกินไปอาจทำให้โป๊ยเซียนเหี่ยวเฉาได้ ดังนั้นความชุ่มชื้นในอากาศก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโป๊ยเซียนเช่นกัน

การรดน้ำ

ตามปกติควรรดน้ำวันละครั้งในตอนเช้าและควรรักษาระดับความชื้นของดินให้พอเหมาะไม่แฉะหรือแห้งเกินไป เช่น ถ้าเป็นช่วงฤดูแล้งดินปลูกแห้งมากควรรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ฤดูฝนถ้าวันใดฝนตกก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำแต่ควรตรวจดูผิวดินในกระถางด้วย ทั้งนี้เพราะใบของโป๊ยเซียนอาจปกคลุมกระถางจนทำให้ฝนที่ตกลงมาไม่สามารถลงไปในกระถางได้ ถ้าโป๊ยเซียนกำลังออกดอกควรหลีกเลี่ยงอย่าให้น้ำไปถูกดอกเพราะจะทำให้ดอกเน่าและร่วงเร็วกว่าปกติ สำหรับน้ำที่ใช้รดควรเป็นน้ำที่มีสภาพเป็นกลาง ถ้าน้ำมีสภาพเป็นกรดอาจผสมปูนที่ใช้กินกับหมากลงไปเล็กน้อยก็ได้ ถ้าเป็นน้ำประปาหรือน้ำบาดาลควรมีบ่อหรือถังพักน้ำไว้หลายๆ วันจึงจะนำมาใช้ได้

การตัดแต่งกิ่ง

โป๊ยเซียนบางต้นมีการแตกกิ่งก้านสาขามาก บางต้นมีลำต้นเดียวไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา ต้นที่มีกิ่งก้านสาขามากจะเป็นพุ่มทึบแสงแดดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้โป๊ยเซียนออกดอกน้อยและมีขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งหลบซ่อนของโรคและแมลงศัตรูพืช ควรตัดกิ่งก้านออกบ้างเพื่อให้แสงและอากาศถ่ายเทได้สะดวก การตัดควรตัดให้ชิดลำต้นไม่ควรเหลือตอกิ่งไว้ กิ่งที่เหลือไว้ควรให้มีรูปทรงสวยงามเป็นไปตามธรรมชาติ หลังจากตัดกิ่งออกแล้วควรใช้ปูนแดงทาบริเวณรอยตัดเพื่อป้องกันเชื้อรา ส่วนกิ่งที่ตัดออกอาจนำไปขยายพันธุ์ต่อไป สำหรับโป๊ยเซียนที่มีลำต้นเดี่ยวไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ถ้ากิ่งสูงมากเมื่อโดนลมแรงๆ อาจทำให้ต้นหักได้ควรตัดยอดไปขยายพันธุ์เป็นต้นใหม่ ส่วนโคนที่เหลือก็จะแตกกิ่งก้านออกมาใหม่

การให้ปุ๋ย

เมื่อปลูกโป๊ยเซียนเป็นเวลานานธาตุอาหารในดินก็จะถูกใช้ไปเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องเพิ่มธาตุอาหารหรือปุ๋ยลงไปในดิน การใส่ปุ๋ยให้กับโป๊ยเซียนสามารถใส่ได้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์อาจเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เช่น มูลวัว มูลสุกร มูลไก่ มูลค้างคาว รวมทั้งปุ๋ย กทม. ปุ๋ยเหล่านี้ทำให้ดินร่วนซุย ระบายถ่ายเทอากาศได้ดี ควรใส่เดือนละครั้งสลับกับการใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีควรใช้ปุ๋ยที่มีคุณภาพดีซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งปุ๋ยละลายช้า ปุ๋ยเกล็ดและปุ๋ยน้ำโดยปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากอย่างเคร่งครัด การให้ปุ๋ยเคมีควรให้ในช่วงเช้าและควรงดน้ำก่อนให้ปุ๋ย 1 วันเพื่อกระตุ้นให้รากดูดปุ๋ยได้มากขึ้น ควรรดหรือโรยเฉลี่ยรอบๆ ต้นเดือนละ 1-2 ครั้ง สำหรับไม้ที่ปลูกใหม่ๆ ยังไม่ควรให้ปุ๋ยเคมีเพราะระบบรากยังจับตัวกับดินไม่ดีพอประกอบกับรากอาจมีการฉีกขาด เนื่องจากการเปลี่ยนดินทำให้ปุ๋ยกระทบรากโดยตรงและเร็วเกินไป อาจทำให้โป๊ยเซียนตายได้ การใส่ปุ๋ยเพื่อให้โป๊ยเซียนออกกิ่งหรือดอกมีวิธีปฏิบัติดังนี้
  • การปลูกเลี้ยงเพื่อให้แตกกิ่ง การทำให้โป๊ยเซียนคายน้ำน้อยๆ จะทำให้โป๊ยเซียนไม่ออกดอกแต่จะแตกกิ่งแทน ดังนั้นสถานที่ปลูกจึงควรเป็นที่อับลม มีลมพัดผ่านน้อย มีแสงแดดไม่มากหรือพรางแสงด้วยที่พรางแสงประมาณ 60-70% มีความชื้นแต่ไม่แฉะ การวางกระถางก็ควรวางให้สูงจากพื้นเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้การยืดช่วงเวลากลางวันให้ยาวออกไปโดยการใช้หลอดไฟ Day Light 60-100 วัตต์ ส่องให้กับต้นโป๊ยเซียนในเวลากลางคืนก็จะช่วยให้ต้นโป๊ยเซียนออกกิ่งได้ดีขึ้น สำหรับดินที่ปลูกควรผสมปุ๋ยคอกมูลสัตว์ เช่น มูลวัว มูลไก่ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ควรใช้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เช่น 15-5-5, 25-7-7 ในปริมาณน้อยๆ ทุก 7-10 วัน
  • การปลูกเลี้ยงเพื่อให้ออกดอก จะตรงข้ามกับกับการปลูกเพื่อให้แตกกิ่ง คือการวางกระถางควรวางให้สูงจากพื้นประมาณ 60-70 ซม. เพื่อให้อากาศพัดผ่านก้นกระถางได้สะดวก เมื่อโป๊ยเซียนคายน้ำมากจะทำให้ออกดอก แสงแดดควรให้มากกว่า 50% หรือพรางแสงด้วยที่พรางแสง 40-50% แสงแดดจะช่วยให้สีของดอกมีสีเข้มขึ้น แต่ไม่ควรให้โป๊ยเซียนถูกแสงแดด 100% หรือถูกแสงแดดโดยตรงจะทำให้ใบไหม้เกรียมได้ ดินปลูกไม่ควรมีปุ๋ยคอกมูลสัตว์มากนัก ควรใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่มีธาตุฟอสฟอรัสค่อนข้างสูง เช่น 12-24-12, 8-24-24 จะเป็นปุ๋ยที่ให้ทางดินหรือทางใบก็ได้ การรดน้ำก็ไม่ควรรดให้แฉะเกินไป เพราะจะทำให้ก้านส่งดอกยาว ออกดอกซ้อนและดอกจะโรยเร็ว นอกจากนี้ก็ไม่ควรรดน้ำให้ถูกดอกเพราะจะทำให้เกสรดอกเน่าดำหมดความสวยงามได้


ต้นใบเงิน

ต้นใบเงิน คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นใบเงินไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเงินมีทองเพราะเป็นไม้มงคลนามนอกจากนี้คนไทยโบราณได้นำ ใบเงินใบทองม...